คาดเฟดยังคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.0-0.25% ในการประชุม 15-16 ก.ย. นี้…หลังจากมีมติปรับเป้าหมายเงินเฟ้อระยะยาวในเดือนก่อนหน้า

คาดเฟดยังคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.0-0.25% ในการประชุม 15-16 ก.ย. นี้…หลังจากมีมติปรับเป้าหมายเงินเฟ้อระยะยาวในเดือนก่อนหน้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0-0.25% สำหรับการประชุมนโยบายการเงินที่จะมีขึ้นในวันที่ 15-16 กันยายนนี้ เนื่องจากมองว่าเฟดได้ใช้เครื่องมือต่างๆ เท่าที่จำเป็นในการช่วยประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ แล้ว

โดยที่ผ่านมาเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนอยู่ที่ระดับใกล้ศูนย์ ประกอบกับมีการดำเนินนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างต่อเนื่อง และล่าสุด ในการประชุม Jackson Hole วันที่ 27 สิงหาคม เฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ในการอนุมัติการปรับยุทธศาสตร์นโยบายการเงินและเป้าหมายในระยะยาว โดยปรับเปลี่ยนมาใช้เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย (Average Inflation Targeting) แทนเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเดิมที่คงที่ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงิน โดยระบุว่า เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและอัตราว่างงานเริ่มปรับลดลง เฟดจะไม่จำเป็นต้องรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมระดับเงินเฟ้อให้อยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2% ซึ่งนโยบายดังกล่าวถือเป็นการใช้มาตรการสื่อสารทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต (Forward guidance) เพื่อปรับคาดการณ์ของประชาชนให้เป็นไปตามที่เฟดต้องการว่า เฟดมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำในระยะเวลายาวนานขึ้น ซึ่งถึงแม้นโยบายดังกล่าวอาจไม่มีประสิทธิผลโดยตรงในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวของสหรัฐฯ ทั้งนี้ คงต้องติดตามรายละเอียดของนโยบาย Average Inflation Targeting ที่คาดว่าจะมีระบุเพิ่มเติมในการประชุมนโยบายการเงินที่จะถึงนี้ อีกทั้งตลาดคงติดตามประมาณการเศรษฐกิจของเฟดที่จะออกมาในการประชุมครั้งนี้ว่ามีทิศทางต่างจากประมาณการครั้งก่อนอย่างไร ซึ่งคาดว่าเฟดคงไม่ส่งสัญญาณมุมมองเศรษฐกิจที่แย่ลง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน

  • ทั้งนี้ แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอ่อนแรง ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆ แต่คาดว่าเฟดน่าจะยังไม่พิจารณาใช้นโยบายการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve control) ในระยะอันใกล้ ขณะที่นโยบายดอกเบี้ยติดลบคงไม่ใช่ทางเลือกที่เฟดต้องการใช้ในสถานการณ์ปัจจุบัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญความเสี่ยงอย่างมาก เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การพัฒนาวัคซีนก็มีความไม่แน่นอนอย่างมาก นอกจากนี้ การออกมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19 รอบใหม่ในสหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ขณะที่ประเด็นทางการเมืองในประเทศและระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ก็ยังมีความไม่แน่นอน และจะเป็นอีกปัจจัยที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อไปในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ก็บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มสูญเสียโมเมนตัมในการฟื้นตัว โดยยอดคำสั่งซื้อและยอดการผลิตต่างเติบโตในอัตราที่ชะลอลงในเดือนสิงหาคม ขณะที่บริษัทจำนวนมากมีการเปลี่ยนการปรับลดการจ้างงานชั่วคราวเป็นการปรับลดการจ้างงานถาวรท่ามกลางอุปสงค์ที่อ่อนแรง อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เฟดน่าจะยังไม่มีการออกนโยบายใหม่ๆ เพิ่มเติมในการประชุมที่จะถึงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้นโยบายดอกเบี้ยนโยบายติดลบ หรือนโยบาย yield curve control เนื่องจากนโยบายดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงิน อีกทั้งเฟดน่าจะยังคงมุ่งเน้นการคงดอกเบี้ยในระดับใกล้ศูนย์ ประกอบกับการดำเนินนโยบาย QE อย่างต่อเนื่อง โดยสอดประสานกับนโยบายทางการคลัง เพื่อประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้

สำหรับผลกระทบต่อไทย นโยบายการเงินของเฟดและธนาคารกลางหลักต่างๆ จะส่งผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางหลักต่างๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ คงต้องติดตามปัจจัยอื่นๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงิน เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดซ้ำของโควิด-19 โดยเฉพาะช่วงที่จะเข้าใกล้ฤดูหนาว ประเด็นทางการเมืองในสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ และประเด็นเบร็กซิทที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงคงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจไทยและสถานการณ์การเมืองไทยที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ซึ่งท่ามกลางความเสี่ยงต่างๆ ทิศทางค่าเงินบาทอาจมีความผันผวนสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทย รวมถึงอาจสร้างความท้าทายแก่การดำเนินนโยบายการเงินของทางการไทยในระยะข้างหน้า