อีไอซี หั่นศก.ไทยติดลบเพิ่ม เป็น 7.8% จับตายอดปิดกิจการพุ่ง ฉุดแรงงานเปราะบางเพิ่ม

อีไอซี หั่นศก.ไทยติดลบเพิ่ม เป็น 7.8% จับตายอดปิดกิจการพุ่ง ฉุดแรงงานเปราะบางเพิ่ม

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจอีไอซี จากไทยพาณิชย์ หั่นจีดีพีรอบใหม่ เป็นติดลบ 7.8% จากเดิมคาดติดลบเพียง 7.3% หลังเศรษฐกิจเจอปัจจัยเสี่ยงเพิ่ม ชี้แผลเป็นจากวิกฤตโควิด-19 สร้างแผลเป็นใหญ่ต่อเศรษฐกิจไทย ฃจับตาแนวโน้มปิดกิจการเพิ่ม ดันอัตราว่างงานพุ่งสิ้นปี

      ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)กล่าวภาพรวมปีนี้ คาดว่า แม้เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ตามการผ่อนคลายของมาตรการปิดเมือง แต่เศรษฐกิจไทยยังมีอุปสรรคต่อการฟื้นตัวอีกหลายประการ

    ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2563 ที่ EIC ปรับลดคาดการณ์ลงเหลือเพียง 6.7 ล้านคน ตามนโยบายควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังไม่มีแนวโน้มผ่อนคลาย
    ประกอบกับเม็ดเงินช่วยเหลือจากภาครัฐภายใต้ พรก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทที่มีแนวโน้มเข้าสู่เศรษฐกิจในปีนี้น้อยกว่าที่คาด (ประมาณ 5 แสนล้านบาท จากเดิมที่คาดประมาณ 6 แสนล้านบาท)

   รวมถึงเม็ดเงินช่วยเหลือที่จะน้อยลงมากในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งทำให้เกิดปัญหาหน้าผาทางการคลัง (Fiscal cliff) และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนบางกลุ่มที่ยังต้องการความช่วยเหลือต่อเนื่อง
    โดยปัจจัยทั้งสองข้างต้นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 เป็น -7.8%

   นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ยังมีอุปสรรคจากแผลเป็นทางเศรษฐกิจ (Scarring effects) ซึ่งประกอบด้วยการปิดกิจการในภาคธุรกิจที่เร่งตัวขึ้นและ ความเปราะบางในตลาดแรงงาน

   สะท้อนจากตัวเลขอัตราว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น และจำนวนชั่วโมงการทำงานรวมที่ลดลงมาก อีกทั้งพฤติกรรมการออมเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต (precautionary saving) และความจำเป็นในการซ่อมแซมงบดุล ที่ได้รับผลกระทบของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนจะเป็นไปอย่างช้า ๆ

. ทั้งนี้จากความอ่อนแอของเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่มาก

    ทั้งนี้ ผลของแผลเป็นทางเศรษฐกิจหรือ scarring effects COVID-19 ได้สร้างแผลเป็นต่อเศรษฐกิจไทย (scarring effects) ทั้งปัญหาการปิดกิจการของธุรกิจและ
ความเปราะบางในตลาดแรงงานซึ่งจะเป็นอุปสรรคและความเสี่ยงสำคัญต่อการฟื้นตัวในระยะข้างหน้า

    โดยแผลเป็นสำคัญประกอบไปด้วยการปิดกิจการที่เพิ่มมากขึ้น ที่จะส่งผลต่อการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มหดตัวในระดับสูงต่อเนื่อง รวมถึงจะซ้ำเติมอีกแผลเป็นทางเศรษฐกิจซึ่งก็คือ ความเปราะบางของตลาดแรงงาน โดยจากข้อมูลล่าสุดในช่วงไตรมาส 2 อัตราว่างงานของไทยเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.95% นับเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 11 ปี
    นอกจากนั้น รายได้ของแรงงานที่ยังมีงานทำก็มีแนวโน้มหดตัวลงมากจากชั่วโมงการทำงานที่ลดลง (-11.5%YOY) ตามจำนวนงานเต็มเวลาและงานโอทีที่หายไป โดยบางส่วนกลายเป็นงานต่ำระดับ (underemployment)

   ขณะที่มีจำนวนแรงงานที่ต้องหยุดงานชั่วคราว (furloughed workers) เพิ่มขึ้นสูงถึง 2.5 ล้านคน สะท้อนความอ่อนแอของตลาดแรงงานที่มีในระดับสูง

   ซึ่งทั้งสองแผลเป็นดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งในการรักษาเยียวยา โดยหากระดับการปิดกิจการและการว่างงานเพิ่มขึ้นในระดับสูงและยืดเยื้อย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้ การบริโภค และการลงทุน ซึ่งนับเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ

    EIC จึงคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ควบคู่กับการใช้มาตรการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านผลของนโยบายการเงินไปยังเศรษฐกิจจริง

   เช่น การสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ ตลอดจนการใช้งบดุลขององค์กรภาครัฐ (Balance sheet policy) ในการเพิ่มสภาพคล่องและแบ่งเบาความเสี่ยงจากภาคเอกชน ผ่านการใช้มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) และการใช้เครื่องมือประกันความเสี่ยงด้านเครดิต (credit guarantee) เป็นต้น