'HR-V' ครอสโอเวอร์ SUV ที่ไม่ควรมองข้าม

'HR-V'  ครอสโอเวอร์ SUV ที่ไม่ควรมองข้าม

อยู่ในช่วงปลายโมเด็ลเต็มทีแล้ว สำหรับ “HR-V (เอชอาร์-วี)” ครอสโอเวอร์ที่เรียกเสียงฮือฮาได้เมื่อคราวเปิดตัวครั้งแรก โดยคาดว่ารุ่นใหม่ที่จะมาแทนที่น่าจะได้เห็นกันไม่ช้านี้

ก่อนหน้านี้ ฮอนด้าก็ขยับตัวกับ HR-V เล็กน้อย ด้วยการเติมความสดเข้าไปไม่มากนัก ชนิดที่หลายคนมีคำถามว่าเปลี่ยนทำไม ถ้าเปลี่ยนแค่นั้น 

แต่ก็เข้าใจได้ครับว่าเป็นรถปลายโมเดล คงไม่ต้องอะไรกับมันมากนัก โดยสิ่งที่เปลี่ยนแปลง เป็นมุเรื่องเกี่ยววกับมมอง เช่น กระจังหน้าลายรังผึ้งโครเมียมรมดำ สอดรับกับมือจับเปิดประตูโครเมียมรมดำเช่นกัน เพื่อทำให้รถดูสปอร์ตขึ้น กระจกมองข้างสีดำ สีตัวถังใหม่ โดยในตัวท็อป “RS” มีสีแดงแพสชั่น มาเป็นตัวเลือก และ RS ยังเติมอารมณ์สปอร์ตด้วยชุดแต่งรอบคัน ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ลายใหม่ พร้อมยางขนาด 215/55 R17

160001867658

ภายในห้องโดยสาร RS มีแป้นคันเร่ง แป้นเบรกแบบสปอร์ต ภายในทูโทน แดงเลือดวัว หรือ ออกซ์บลัด ตัดกับสีดำ สวยงาม หรูหรา และสปอร์ต ส่วนรายละเอียดด้านเทคนิคต่างๆ ยังเหมือนเดิม 

แต่ที่หยิบเอา HR-V มาพูดถึงกันอีกครั้ง เพราะช่วงนี้กระแสของรถแนวครอสโอเวอร์ กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น และก็มีรถใหม่ๆ เข้ามาเปิดตลาดหลายรุ่น หลายเทคโนโลยี ทั้งเครื่องยนต์ ทั้งไฮบริด หรือว่า อี-เพาเวอร์ ที่ผมก็ยังเรียกว่าอี-เพาเวอร์ ตามบริษัทผู้ผลิตเขานิยามมา แม้ว่าหลายคนจะพยายามบอกว่ามันเป็นไฮบริดก็ตาม เอาเป็นว่าจะเรียกอะไรก็ช่าง ขอแค่เข้าใจระบบ หรือรูปแบบการทำงานของมันก็พอ 

ความสนใจของผู้คนที่มีต่อผู้มาใหม่ ไม่ว่าจะเป็น “มาสด้า ซีเอ็กซ์-30” “นิสสัน คิกส์”  หรือว่า “โตโยต้า โคโรลล่า ครอส”  นั้นมากทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครที่จะไม่หยิบยกเอาตัวเก่าอย่างเอชอาร์-วี หรือโตโยต้า ซีเอช-อาร์ มาเทียบเคียงเลย

และก็มีหลายคนที่ถามไถ่กันมา ว่าควรจะมองของใหม่ หรือว่าหยิบยกรุ่นเก่ามาเปรียบเทียบ นั่นทำให้ผมต้ดสินใจนำเอชอาร์-วี มาลองกันอีกครั้ง

และที่สำคัญได้รถที่เลขไมล์ระบุว่าผ่านการใช้งานมาแล้วมากกว่า “2.2 หมื่น กม.”  แต่ก็ดีครับ เพราะส่วนใหญ่ก็จะขับแต่รถใหม่กิ๊กที่มีความสด แต่ว่ารถที่ผ่านการใช้งานไปแล้ว ซึ่งถ้าหากเทียบกับการใช้งานทั่วไป คันนี้ ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาประมาณ 1 ปี หรือมากกว่านั้น มาลองขับกันบ้าง

และก็ต้องบอกว่ารถยังแน่น ไม่ต่างไปจากรถใหม่ครับ เครื่องเครา ช่วงล่าง รอยต่อต่างๆ หรือว่าเสียงเอี๊ยดอ๊าด กุกกัก ไม่มี

เอชอาร์-วี ใช้เครื่องยนต์เบนซิน SOHC 4 สูบ 1.8 ลิตร ไอ-วีเทค ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 172 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบ/นาที รองรับเชื้อเพลิง อี 85 เกียร์ซีวีที ขับเคลื่อนล้อหน้า

ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโครง ด้านหลัง  ทอร์ชั่นบีม ดิสค์เบรก 4 ล้อ 

พูดถึงรูปร่างหน้าตา ผมว่าเจ้ารถที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในตลาดกลุ่มนี้ ก็ยังดูกลมกลืน ไม่ล้าสมัย ดูสวยงาม น่าขับ ขนาดกะทัดรัด มีความคล่องตัวสูงจากรัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร และควบคุมด้วยพวงมาลัยไฟฟ้า 

160001833065

เครื่องยนต์ที่ผ่านการใช้งานมากว่า 2.2 หมื่น กม. ยังตอบสนองได้ดี เดินทางไปไหนก็ได้ไม่มีปัญหา อัตราเร่งน่าพอใจ เร่งแซงได้ตามต้องการ ไม่ต้องลุ้นอะไร แต่เกียร์ซีวีที ก็มีลักษณะเฉพาะตัวที่ควรใช้คันเร่งให้ถูกต้อง คือ กดหรือเพิ่มน้ำหนักอย่างนุ่มนวลจะส่งรถให้พุ่งไปข้างหน้าได้อย่างลื่นไหล

มีแพดเดิลชิฟท์ให้เลือกเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ด้วยตนเอง แต่ใช้แค่ D ก็พอครับ เกียร์ยังฉลาดพอที่จะรองรับเส้นทาง หรือว่ารูปแบบการขี่ของเราได้ดีพอ 

ช่วงล่างทำงานได้ดี แม้จะมีความสูงของตัวถังหรือความสูงใต้ท้องรถ 170 มม. รถก็ยังนิ่งทั้งทางตรงน่าพอใจ 

ช่วงล่างออกแนวสปอร์ต มีความกระด้างเล็กน้อย แต่รับได้ ช่วงล่างหลังทอร์ชันบีม ไม่ได้ทำให้รู้สึกแตกต่างมากนัก  

แต่จุดเด่นที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ยังเป็นที่ต้องการของผู้คน คือ ความสะดวกในการใช้งาน ความสบายในการนั่งสำหรับรถในตลาดนี้

HR-V RS มีขนาดตัวถังยาว  4,346 มม. ความกว้าง  1,790 มม. และสูง 1,605 มม. ระยะฐานล้อ 2,610 มม.  

ภายในห้องโดยสารถือว่ากว้างขวาง และเบาะสีแดงเติมอารมณ์สนุกให้อยากขับขี่ ส่วนตัวเบาะเองออกแบบให้นั่งได้สบาย ท่วงท่าการนั่งก็ผ่อนคลาย นุ่ม และกระชับลำตัว เดินทางไกลๆ สบายไม่เมื่อย ขณะที่ทัศนวิสัยในด้านต่างๆ กว้าง ชัดเจน ช่วยให้ผ่อนคลาย เป็นอีกจุดเด่นในการใช้งานจริงของ เอชอาร์-วี

160001833291

ห้องโดยสาร เรียบๆ ดูสะอาดตา ดูโปร่งโล่ง ขณะที่รูปทรงของห้องโดยสารที่ออกไปในทรงกล่องช่วยให้ไม่อึดอัด และยังมีซันรูฟ ให้ใช้งาน ช่วงอากาศดีๆ หรือโพล้เพล้ เพิ่มความโปร่งโล่งอีกทางหนึ่ง

เบาะนั่งแถวที่ 2 นั่งได้สบายเช่นกัน องศาของพนักพิงดี และนุ่มกระชับ นั่ง 2 คน สบายๆ นั่ง 3 คน ก็ได้ไม่มีปัญหา และเมื่อพับเบาะหลังลง ซึ่งค่อนข้างแบนราบ ก็ช่วยเพิ่มพื้นที่บรรทุกของที่มีความใหญ่ หรือยาวได้ อย่างเช่นจักรยานเสือหมอบ ไซส์ 46 ของผม ก็สามารถจับมันยัดเข้าไปได้ทั้งคัน โดยไม่ต้องถอดเบาะหรือถอดอานออกแต่อย่างใด และหากจัดวางดีๆ น่าจะใส่ได้ 2 คัน สบายๆ 

160001833111

160001853379

เบาะยังพับได้หลายแบบคือพับราบแบบนี้ หรือจะพับแล้วยกอีกทีทั้งส่วนเบาะรองนั่งและพนักพิงที่แนบชิดติดกันแล้วขึ้นไปแปะไว้หลังเบาะหน้า ซึ่งก็จะทำให้พื้นที่ตรงนั้นโล่งขึ้น รองรับการใส่สัมภาระที่มีความสูงได้  

ส่วนระบบช่วยการขับขี่ และความปลอดภัยที่น่าสนใจที่ให้มา เช่น ระบบช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ (ไม่เกิน 35 กม./ชม.) ซึ่งมีทั้งการเตือน และการช่วยเบรกเห็นว่ามีความเสี่ยงที่จะชน ระบบ ฮอนด้า วอทช์ ติดตั้งกล้องไว้ที่กระจกมองข้างด้านซ้าย เพื่อแสดงภาพผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ เนื่องจากฮอนด้าเห็นว่ามุมมองจากกระจกมองข้างด้านซ้ายมีจุดอับสายตามากกว่าด้านขวาระบบล็อคอัตโนมัติเมื่อรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ ซึ่งก็ช่วยได้ดี แถมยังช่วยได้ช่วงเวลาโพล้เพล้ หรือฝนตกๆ ที่รถที่มาด้านซ้าย ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ที่ไม่ค่อยเปิดไฟ กล้องนี้ให้ภาพชัดขึ้นกว่าการมองผ่านกระจกโดยตรง 

ระบบเบรกเอบีเอส ระบบกระจายแรงเบรกอัตโนมัติหรือ อีบีดีระบบควบคุมการทรงตัวหรือวีเอสเอ ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน หรือ เอชเอสเอ สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน หรืออีเอสเอสกล้องส่องภาพด้านหลัง ให้ภาพที่ชัดเจน และยังเลือกปรับได้ 3 มุมมอง ติดตั้งถุงลม 6 ตำแหน่ง

ราคา 1.8 อาร์เอส อยู่ที่ 1.119 ล้านบาท ส่วนอีก 2 รุ่นที่เหลือคือ 1.8 อี 9.49 แสนบาท และ 1.8 อีแอล 1.059 ล้านบาท 

โดยรวมแล้ว HR-V ถือว่าเป็นรถที่ตอบสนองการใช้งานได้ ทั้งผู้ขับขี่ ที่ขับง่าย ขับสนุก และผู้โดยสาร รองรับได้ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวัน หรือ ครอบครัวย่อมๆ ที่ต้องการรถเดินไปทำธุระปะปัง หรือท่องเที่ยวสบายๆ เพลินเพลินครับ