สิระ ยัน ควรแก้กฎหมายจาก 'คณะปฏิวัติ' ที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม

สิระ ยัน ควรแก้กฎหมายจาก 'คณะปฏิวัติ' ที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม

“สิระ” ย้ำ กมธ.กฎหมายทำงานไม่อิงพรรคการเมือง เตรียมหารือยกเลิกกฎหมายจากคณะปฏิวัติ ด้าน “โรม” ฉะ นายกฯ คง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฉวยโอกาสรังแกผู้ชุมนุม จี้ยกเลิกกฎหมาย ให้สภาฯ ตรวจสอบได้

วันนี้ (12 ก.ย.) ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนา “ความยุติธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน” โดยมี นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ เป็นประธานในพิธีเปิด และมี นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการฯ เข้าร่วม

นายสิระ ในฐานะประธานกรรมการคณะกรรมการฯ กล่าวว่า หัวข้อในการสัมมนาวันนี้เป็นหัวข้อที่ดีและสำคัญ เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ที่จะได้รู้ว่าทำไมต้องมี พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งวันนี้จะได้ระดมความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชนและกรรมาธิการฯที่จะได้นำกลับไปพิจารณาในคณะกรรมาธิการฯต่อไป

ทั้งนี้ ในคณะกรรมาธิการฯมี ส.ส. 15 คน ซึ่งมาจากหลายพรรคการเมือง ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล แต่เวลาทำงานในฐานะกรรมาธิการฯ เราได้มีการยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ และหากดูจากผลงานที่ผ่านมาตามหน้าสือ จะเห็นว่าผลงานของกรรมาธิการฯ มีการทำงานอย่างอิสระ ไม่อยู่ภายใต้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง และหากวันนี้มีความคิดเห็นที่จะให้กรรมาธิการขับเคลื่อนไปในทิศทางใดก็รวมรวมแล้วส่งมาได้

เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว และมีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นกฎหมายที่เกิดจากคณะปฏิวัติในอดีต ที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม จะต้องมีการแก้กฎหมาย

นายสิระ ยังกล่าวว่า ส่วนตัวได้คุยกับกรรมาธิการมาโดยตลอดว่า ในเมื่อเรามีรัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว และมีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นกฎหมายที่เกิดจากคณะปฏิวัติในอดีต ที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม จะต้องมีการแก้กฎหมาย ซึ่งขณะนี้กำลังหารือกันอยู่ว่าจะทำการยกเลิกอย่างไร ดังนั้นขอให้เชื่อมั่นในคณะกรรมาธิการฯที่มาจากตัวแทนประชาชน

จากนั้น นายรังสิมันต์ โรม ได้บรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “สถานการณ์ฉุกเฉินของใคร” ถึงปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในช่วงสถานการณ์การ โควิด-19 ว่า โดยปกติแล้วการออก พ.ร.ก. ของรัฐบาล จะต้องส่งให้ สภาฯ พิจารณาให้มีสถานะเทียบเท่า พ.ร.บ. ที่ผ่านการเห็นชอบ จากสภาฯ แล้ว ซึ่งพ.ร.ก. เป็นการใช้กฎหมายชั่วคราวของรัฐบาลที่ใช้ในกรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นี้เป็นอำนาจโดยตรงของนายกรัฐมนตรี ที่ฝ่ายตุลาการ ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถตรวจสอบฝ่าย บริหารได้

ตนและ พรรคก้าวไกล จึงเข้าชื่อเสนอให้มีการยกเลิกการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน โดยให้อำนาจนายกฯ ในฐานะฝ่ายบริหาร มีอำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้ไม่เกิน 30วัน และต้องได้รับความเห็นชอบสภาผู้แทนราษฎร ภายใน 7วัน เพื่อให้ฝ่ายบริหารได้ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นต่อสภา เพื่อให้สภาฯมีอำนาจตรวจสอบ การประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉินของรัฐบาล และหลังประกาศใช้แล้ว รัฐบาลต้องทำรายงานผลการทำงานต่อสภาผู้แทนราษฎรด้วย

เพราะการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จริงๆ แล้วก็เพื่อบริหารสถานการณ์โดยบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกัน

ที่ผ่านมามีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาแล้ว 7 ครั้ง นอกจากปัญหาชายแดนใต้ ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการควบคุมการชุมนุมทางการเมือง

ตั้งแต่การควบคุมกลุ่มพันธมิตรฯ ในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช และ รัฐบาลนายสมชาย วงสวัสดิ์ รวมทั้งการควบคุมกลุ่มคนเสื้อแดง ในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการควบคุมการชุมนุม ของกลุ่ม กปปส. ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ที่ผ่านมาก็ไม่ถือว่าการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้สำเร็จ มิหนำซ้ำยังนำมาซึ่งความรุนแรงในหลายเหตุการณ์ เช่นการสลายชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553

ส่วนตัวเชื่อว่า ความจำเป็นในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ควรเป็นกรณีเหตุการณ์ก่อการร้าย อย่างในต่างประเทศ ไม่ควรใช้ต่อการชุมนุมทางการเมือง

เพราะไม่มีการชุมนุมครั้งไหนที่ต้องการใช้ความรุนแรง แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ก็เกิดจากการใช้อำนาจไปสลายการชุมนุม ดังนั้นหากไม่ต้องการเห็นความรุนแรงในการชุมนุม รัฐจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุม

สำหรับการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในสถานการณ์โควิด ปัจจุบัน ส่วนตัว มองว่าเป็นผลมาจากความติดใจของ พลเอกประยุทธ์ ที่ใช้อำนาจตาม ม.44 ยุค คสช. มานาน ทั้งที่สถานการณ์ดีขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่กลับไปใช้กับการควบคุมตัวของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิด ส่วนตัวมองว่าเป็นการใช้ พ.ร.ก เพื่อฉวยโอกาสรังแกประชาชน

อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังเป็นการปกป้องเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มารังแกประชาชนด้วยหรือไม่ ทำให้ประชาชนไม่สามารถเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐได้

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่รัฐสภาจะมีการพิจารณาในวันที่ 23-24 ก.ย. นี้ ว่า ส่วนตัวเชื่อว่า ส.ว. จะโหวตให้เกิดกระบวนการแก้ไข มาตรา 256 เพื่อให้เกิด ส.ส.ร. ขึ้น เพราะมีสถานการณ์ออกมาเคลื่อนไหว แต่การ แก้ มาตรา 272 เรื่องอำนาจ ส.ว. ในการโหวตนายกรัฐมนตรี ประเด็นนี้ ไม่มั่นใจว่า ส.ว. จะโหวตให้ผ่านวาระ แรกหรือไม่ เพราะมาตรานี้มีความสำคัญหากไม่มีการแก้ไข โอกาสที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จะอยู่ไปถึง 8ปี ก็จะเกิดขึ้น แต่ส่วนตัวเชื่อว่าจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ยังหาทางออกได้โดยที่ผู้มีอำนาจต้องรับฟังประชาชนมากกว่านี้ และพร้อมที่จะปฏิบัติตาม ต่อสิ่งที่ประชาชนเรียกร้อง และเราปฏิเสธไม่ได้ว่า พลเอกประยุทธ์ คือเจ้าของ ส.ว. ดังนั้นหาก อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาเจรจากันพลเอกประยุทธ์ ควรถอยยกเลิกอำนาจ ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี