ทำไม 'คนจีน' ถึงอยากให้ 'ทรัมป์' อยู่ต่ออีก 4 ปี

ทำไม 'คนจีน' ถึงอยากให้ 'ทรัมป์' อยู่ต่ออีก 4 ปี

วิเคราะห์สถานการณ์ช่วงท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน สำหรับมุมมองของจีนแล้ว ทำไมถึงอยากให้ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิดีต่อ ทั้งที่ผ่านมาจีนต้องเผชิญสงครามการค้าจากนโยบายของทรัมป์ ขณะเดียวกันไม่ค่อยต้อนรับไบเดนเท่าไรนัก

หากมองย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 ตอนเลือกตั้งประธานาธิบดีระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับฮิลลารี คลินตัน รัฐบาลจีนได้เตรียมแผนรับมือกับทางฮิลลารีไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะเขาคาดการณ์ว่าฮิลลารีจะชนะ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

เมื่อผ่านไป 4 ปี หลังจากเขาได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ทรัมป์ได้เปิดศึกสงครามการค้ากับทางจีนมาโดยตลอด นี่ยังไม่รวมถึงการตัดขาฝั่งจีนหลายๆ อย่าง ทั้งการแบนแอพ TikTok กับ WeChat ในตอนนี้ที่สหรัฐและการแบนบริษัทสมาร์ทโฟนของจีนอย่างหัวเว่ย ซึ่งได้สร้างความบาดหมางระหว่างจีนกับสหรัฐเป็นอย่างมาก 

ยิ่งล่าสุดในการบีบให้ TikTok ต้องขายแอพในภูมิภาคอเมริกาเหนือให้กับบริษัทที่สหรัฐ จนทำให้ทาง CEO ที่เพิ่งแต่งตั้งล่าสุดของ TikTok อย่างเควิน เมเยอร์ ต้องลาออกแบบฟ้าผ่า ทั้งที่เพิ่งแต่งตั้งได้เพียงไม่ถึง 3 เดือนด้วยซ้ำ

กลับมาที่มุมมองของคนจีนกันบ้างนะครับ สมัยก่อนคนจีนเองอาจจะไม่ชอบรัฐบาลตัวเองที่กีดกันบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Facebook กับ Google เข้ามาทำตลาดในประเทศจีน แต่หลังจากที่ทรัมป์ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขาได้ทำให้หลายๆ ประเทศในฝั่งตะวันตกรู้สึกกังขาและผิดหวังกับสิ่งที่สหรัฐทำมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สัมพันธภาพกับฝั่งตะวันตกลดลง และทรัมป์เองก็ไม่ได้เพิ่มสัมพันธภาพกับประเทศพันมิตรในแทบเอเชียอย่างเกาหลีกับญี่ปุ่นอีกด้วย 

สิ่งที่รัฐบาลของทรัมป์ทำยังทำให้ทั้งโลกสงสัยว่าทรัมป์เป็นผู้นำที่เหมาะสมกับทางสหรัฐหรือไม่ ตั้งแต่การถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลกกลางคันในช่วงที่องค์การจำเป็นที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือและเยียวยามากที่สุด การที่เขาถอนตัวออกจาก Trans-Pacific Partnership ทำให้สัมพันธภาพกับประเทศในแปซิฟิกลดลง อย่างออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ การที่เขาข่มขู่ผู้นำฝั่งยุโรปเป็นการส่วนตัวจากทั้งการให้ตอบคำถามจากสื่อมวลชน และการที่เขาได้ทวีตส่วนตัวของเขา หรือการวิพากษ์วิจารณ์ NATO 

สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบกับสหรัฐมากกว่าที่เกิดขึ้นกับจีน และเขาได้สร้างความเกลียดชังในหมู่คนจีนมากยิ่งขึ้น ทำให้คนทั้งประเทศจีนผนึกกำลังกันเพื่อต่อต้านสหรัฐ คนจึงชอบรัฐบาลของสี จิ้นผิง มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเขาคิดว่ามันทำให้จีนมีอำนาจในการต่อรองกับฝั่งตะวันตกมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนั่นทำให้จีนเริ่มมีช่องทางในยุโรปมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้ประเทศจีนมีอิทธิพลเหนือทวีปแอฟริกาและเอเชียอยู่แล้วด้วย

ดังนั้น หลายๆ คนจึงอยากได้ทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดีต่ออีก 4 ปี เพราะว่ามันอาจจะทำให้จีนมีอิทธิพลกับโลกได้มากยิ่งขึ้น และเผลอๆ อาจจะทำให้จีนชนะสงครามเย็นในครั้งนี้ได้ด้วยซ้ำ 

แต่ถ้าโจ ไบเดน ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาอาจจะผนึกกำลังกับทางฝั่งยุโรปมากขึ้นเพื่อมาต่อกรกับประเทศจีน จะทำให้จีนลำบากมากขึ้นในการเป็นผู้นำของโลกในอนาคต เพราะตั้งแต่ที่ไบเดนได้ขึ้นมาเป็นผู้สมัครชิงประธานาธิบดี เขาได้ต่อกรกับทางรัฐบาลจีนและสี จิ้นผิงมากขึ้น โดยเริ่มจากเรียกการกระทำของสี จิ้นผิง ว่าเหมือน “นักเลง” กับสิ่งที่สีได้ทำกับชาวฮ่องกง และการจับขังชาวอุยกูร์เป็นจำนวนมากที่ฝั่งตะวันตกของเขตปกครองตนเองในมณฑลซินเจียง 

ฝั่งเดโมแครตที่เป็นพรรคของไบเดน ได้ส่งเสริมให้ร่างกฎหมายใหม่กับทางฮ่องกง และส่งกองกำลังทหารมาช่วยเหลือไต้หวันอีกด้วย ทำให้ลดความได้เปรียบของทางประเทศจีนลง แต่ข้อดีของทางไบเดน ถ้าเขาได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เราอาจเห็นสหรัฐกลับเข้าสู่ความตกลงปารีส (Paris Agreement) การทำให้องค์การการค้าโลกเสมอภาคมากยิ่งขึ้น และการอาจจะกลับเข้าไปเข้าร่วม Trans-Pacific Partnership (TPP) ที่ตอนนี้ที่ไทยเข้าร่วมชื่อใหม่ที่ชื่อว่า CPTPP โลกในอนาคตอาจจะไม่หม่นหมองเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็เป็นได้

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คนจีนอยากได้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีอีก 4 ปีคือ รัฐบาลจีนมองว่าตัวทรัมป์เอง “อ่านง่าย” จากการที่เขาชอบเปิดเผยความคิดของเขาในทวิตเตอร์ จึงทำให้ง่ายต่อการที่ประเทศจีนจะต่อกรกับเขา

ซึ่งในหนังสือล่าสุดของคุณจอห์น โบลตัน ที่เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาทางความมั่นคงของทรัมป์ จอห์นบอกว่าตอนทรัมป์ร่วมกินอาหารค่ำกับสี จิ้นผิง ที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ทรัมป์บอกกับสี จิ้นผิง ว่าการสร้างที่กักกันชาวอุยกูร์ในเมืองปักกิ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และตอนที่เกิดการประท้วงที่ฮ่องกงตอนแรกทรัมป์ออกมาชื่นชมความพยายามของชาวฮ่องกงที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของพวกเขา แต่ตอนหลังเขาก็หันมาสนับสนุนรัฐบาลจีนแทน

ซึ่งถ้าเรามองตลอด 4 ปีที่ผ่านมาของทรัมป์ เราจะเห็นว่าเขาเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เกือบตลอดเวลา ซึ่งไม่เหมือนกับโจ ไบเดน ที่มีความชัดเจนกับสิ่งที่เขาจะทำมากกว่าโดนัลด์ ทรัมป์เป็นอย่างมาก ยังไงก็แล้วแต่ อีก 52 วันหลังจากนี้ ไม่ว่าใครจะขึ้นไปเป็นประธานาธิบดีคนถัดไปของสหรัฐ ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐยังไงก็สูงขึ้นอย่างแน่นอน