'ประยุทธ์' ลั่น 'ไม่ยึดติดตำแหน่ง' - ม็อบยันเดินหน้าชุมนุม 19 ก.ย.

'ประยุทธ์' ลั่น 'ไม่ยึดติดตำแหน่ง' - ม็อบยันเดินหน้าชุมนุม 19 ก.ย.

นายกฯ ลั่นบริหารราชการไม่ยึดติดตำแหน่ง วอนประชาชนยึดหลักสันติ ด้านแกนนำม็อบ นศ. เมิน มธ. ห้ามใช้สถานที่ ยันเดินหน้าจัดชุมนุมใหญ่ 19 ก.ย. เพื่อไทยปัดท่อน้ำเลี้ยง

ความเคลื่อนไหวก่อนการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มนักศึกษาในวันที่19ก.ย. วานนี้(11ก.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวระหว่าง

เป็นประธานในพิธีมอบ “บ้านใหม่” ให้ชุมชนบึงบางซื่อตามโครงการสานพลังประชารัฐว่า ขอให้ทุกคนรักสามัคคีบ้านเมืองสงบสุขไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งกันและกันไม่ละเมิดทำให้คนอื่นวุ่นวายถ้ามัวแต่ขัดแย้งก็จะทำให้บ้านเมืองมีปัญหาทั้งนี้หวังจากประชาชนว่าจะช่วยทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยด้วยวิธีการสันติพูดจากัน ยืนยันว่าตนไม่ได้ต้องการรักษาตำแหน่งไม่ได้ต้องการอำนาจหรือผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น

วันเดียวกันศาลอาญานัดไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาลหมายเลขดำ ลศ. 9/2563 ที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา กล่าวหานายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ กรณีละเมิดอำนาจศาล เนื่องจากวันที่ 8 ส.ค.63 ขณะที่พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ นำตัวนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลอาญา ซึ่งระหว่างนั้น นายพริษฐ์ ได้ยืนขึ้นตะโกนส่งเสียงดัง พร้อมชักชวนให้บุคคลอื่นๆ เดินทางมาชุมนุม เพื่อขัดขวางการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล

โดยนายพริษฐ์ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา อย่างไรก็ดีศาลตรวจสำนวนแล้วปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหายังไม่ได้รับแผ่นบันทึกภาพและเสียง ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ในวันดังกล่าวจึงให้เลื่อนไปไต่สวนละเมิดอำนาจศาล ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น.

ทั้งนายพริษฐ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมยืนยันว่าจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ แม้ว่าม.ธรรมศาสตร์ จะไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ก็ตาม ส่วนกรณีมีการพาดพิงว่า ไปขอรับเงินบริจาคจาก ส.ส.พรรคการเมือง โดยเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ถูกสร้างมาให้ร้ายตัวเอง

วันเดียวกันน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้งหนึ่งในตัวแทนกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมนำพวงหรีดที่มีข้อความว่า“อาลัยจิตวิญญาณธรรมศาสตร์” พร้อมยืนยันว่าทางกลุ่มจะมีการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 ก.ย. แม้ทางมหาวิทยาลัยจะไม่ให้ใช้พื้นที่

เช่นเดียวกับน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่ากรณีการปล่อยข่าวว่าส.ส.ของพรรคหลายคนถูกร้องขอเงินจากแกนนำม็อบนักศึกษาเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายจัดการชุมนุมใหญ่วันที่19ก.ย.นั้นไม่เป็นความจริง เป็นเพียงแค่การปล่อยข่าวเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของการชุมนุมของคนที่พยายามสร้างข่าวเท็จเพื่อให้พรรคเพื่อไทยเท่านั้น

ส่วนกลุ่มศิษย์เก่า นำโดยนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะศิษย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แถลงเจตจำนงยืนยันจะส่งเรื่องถึงกรรมการสภามหาวิทยาลัย และผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงกรณีขอให้ระงับการใช้พื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยเพื่อการชุมนุมใหญ่ของแนวร่วมกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม ในวันที่ 19 ก.ย. นี้

โดยในหนังสือชี้แจงต่อสื่อมวลชน เนื้อหาโดยสรุปว่า บรรดาศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ได้พร้อมกันเล็งเห็นว่า นักศึกษา “แนวร่วมกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ไม่มีทั้งความโปร่งใส ,ความรักผิดชอบ และความสามารถที่จะจัดชุมนุมโดยสงบสม จึงขอเรียนไปยังผู้ที่รับผิดชอบ ได้โปรดพิจารณามีคำสั่งปฏิเสธ ด้วยเหตุผล1.กลุ่มนักศึกษาผู้ขอจัดการชุมนุม แถลงยืนยันไว้ชัดเจนว่า จะเปิดชุมนุมนักศึกษาและประชาชน 1 วัน 1 คืน จากนั้นจะเดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลตัวเลขโดยประมาณอยู่ที่ 40,000 คนขึ้นไป เพื่อ “ต่อสู้สร้างแผลให้เผด็จการอย่างไม่รู้ลืม” และสัญญาว่า “พี่น้องจะไม่กลับมือเปล่าอย่างแน่นอน”

2.เป็นมวลชนแห่งความจงเกลียดจงชัง ที่ผ่านการปลุกปั่นมายาวนานในโลกไซเบอร์ จนยากที่จะเชื่อหรือหวังในความสงบและการเจรจากันเช่นวิถีทางประชาธิปไตยได้ 3.สุ่มเสี่ยงสูงสุด โดยนักศึกษากลุ่มนี้จะมีความสามารถในการนำ ควบคุม จัดการ คุ้มครอง ผู้ชุมนุมได้อย่างไร ทั้งนี้น่าห่วงว่า จะได้เห็นร่างวีรชนต้องจากไปอีกหลายคนเหมือนคราวพฤษภาทมิฬอีก4. กลุ่มศิษย์เก่าเห็นว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่นักศึกษากลุ่มนี้จะมีการนำและการจัดการโดยอิสระลำพังกลุ่มตนเองได้ 5.ธรรมศาสตร์มีส่วนร่วมด้วยไม่ได้

อย่างไรก็ดียืนยันคณะที่ออกมาคัดค้าน มาในนามศิษย์เก่าเท่านั้น ไม่ใช่ในนามธรรมศาสตร์ทั้งหมด พร้อมกันนี้นายแก้วสรร ยังได้ขยายความถึงประเด็นที่จะชูในการคัดค้านนั้นว่า จะใช้คำว่า ปิด มธ. พอกันทีวีรชน หลังจากนี้ จะมีกระบวนการลงชื่อ จนถึงวันอังคารที่ 15 ก.ย.เพื่อยื่นต่อผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่อไป

ขณะที่นายวุฒิสาร ตันไชยเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า สิ่งที่ต้องระวังคือต้องไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ระหว่างความคิดของสองกลุ่ม จนเป็นเหตุรุนแรงและนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่สิ่งที่สำคัญก็คือการมีกลไกให้แต่ละกลุ่มแสดงความคิดเห็นเพื่อหาทางออกร่วมกันให้ได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้คือการมีเวทีเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมพูดคุยกันว่าสิ่งใดสามารถแก้ได้โดยใช้เวลาระยะสั้นและระยะยาว