‘มุกดา นรินทร์รักษ์’ ก้าวทีละขั้น...ไม่มองเกินตัว

‘มุกดา นรินทร์รักษ์’ ก้าวทีละขั้น...ไม่มองเกินตัว

พบกับแง่คิดชีวิต และการทำงานของ 'มุกดา นรินทร์รักษ์' ที่ส่งให้เธอกลายเป็นนักแสดงหญิงที่กำลังฮอตสุดๆ อยู่ในขณะนี้จากบทบาท 'มิตา' จาก 'โซ่เวรี' ทางช่อง 7 HD

เป็นนักแสดงสาวที่กำลังฮอตสุดๆ อยู่ในขณะนี้ สำหรับ ‘มุกดา นรินทร์รักษ์’ กับบท ‘มิตา’ จากละคร ‘โซ่เวรี’ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 HD ที่เธอเชือดเฉือนบทกับ ‘เข้ม-หัสวีร์’ ได้อย่างเข้มข้น โดนใจผู้ชม จนทำให้ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องของเรตติ้ง และกระแสโซเชียล

นอกจากจะติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของประเทศไทย ติดเทรนด์ทวิตเตอร์โลกทุกวันที่ละครออนแอร์ แถมติดอันดับ ‘กระทู้แนะนำ’ ในเว็บบอร์ดยอดนิยมอย่าง ‘พันทิพ’ เป็นว่าเล่นแล้ว ‘โซ่เวรี’ ยังมีเรตติ้งพุ่งทะยานไม่หยุด โดยล่าสุดขึ้นไปแตะ 6.3 แล้ว (วันที่ 30 สิงหาคม 63) และยังมีทีท่าว่าจะพุ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะยิ่งละครเข้าใกล้โค้งสุดท้ายมากเท่าไร ความเข้มข้นก็ยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น

แต่กว่า ‘มุกดา นรินทร์รักษ์’ จะมีวันนี้ วันที่เธอได้รับการยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิว่าเป็นนางเอกเบอร์ต้น ๆ ของช่อง 7 HD ผู้ครองแชมป์เรตติ้งอันดับ 1 มาตลอดนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

159971529424

หากลองพิมพ์คำว่า ‘มุกดา’ ลงไปในช่องค้นหาของเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง ‘กูเกิ้ล’ คุณจะพบคำว่า ‘มุกดา ลูกรักช่อง 7’ ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ นั่นแสดงให้เห็นว่าคำ ๆ นี้ได้กลายเป็นภาพจำของนักแสดงสาวใต้ หน้าคม วัย 24 ปี ในสายตาของคนจำนวนไม่น้อย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เส้นทางสายบันเทิงของ ‘มุกดา นรินทร์รักษ์’ ไม่ได้สวยงามเลิศหรูอย่างที่คิด แต่ต้องใช้ความอดทน และพลังใจอย่างล้นเหลือกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้

มุกดาเข้าวงการจากการประกวดมิสทีน ไทยแลนด์ 2011 แล้วได้ตำแหน่งชนะเลิศไปครอง หลังจากนั้นเธอได้ลองมาแคสเป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 7 แต่ปรากฎว่าไม่ผ่าน เลยหันไปคว้าโอกาสที่ผ่านเข้ามาก่อน นั่นคือ งานเดินแบบถ่ายแบบที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลานาน 3 ปี ก่อนจะกลับมาแคสที่ช่อง 7 ใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ผ่านอีก จนครั้งที่ 3 ถึงจะประสบความสำเร็จดังหวัง

ผลงานละครเรื่องแรกของมุกดาคือ ขมิ้นกับปูน ที่เธอได้เล่นเป็นคู่รอง แต่พอมาเรื่องที่สอง ‘มัสยา’ มุกดาก็ได้เล่นเป็นนางเอกเลย แล้วอาจจะด้วยความสวยชนิดหาตัวจับยาก เสน่ห์เฉพาะตัว ฝีมือการแสดงที่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ หรืออาจจะเป็นความเหมาะสมกับบท มุกดาก็ได้เป็นนางเอกต่อเนื่องมาโดยตลอด แถมยังได้ประกบคู่กับพระเอกเบอร์ต้น ๆ ของช่อง 7 ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น เวียร์ ศุกลวัฒน์, มิกค์ ทองระย้า, ไมค์ ภัทรเดช, แบงค์ อาทิตย์ ซึ่งนี่อาจจะกลายเป็นที่มาของคำว่า ‘ลูกรักของช่อง’ ก็เป็นได้

แต่ถ้าได้มาคุยกับเจ้าตัวดูแล้ว คุณจะไม่สัมผัสกับความรู้สึกที่ว่า มุกดา มีความความเย่อหยิ่ง หรือวางท่าว่าตัวเองเป็นนักแสดงคนสำคัญของช่องเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือ ความละเอียด และจริงจังเวลาที่เธอพูดถึงเนื้องาน หรือการพัฒนาตัวเองให้เก่งยิ่ง ๆ ขึ้นไป

159971541519

  • ‘โซ่เวรี’ ให้อะไรกับ ‘มุกดา’

ละคร ‘โซ่เวรี’ ที่กำลังดังเปรี้ยงปร้างอยู่ในขณะนี้ ทำให้มุกดาขึ้นแท่น ‘นางเอกเบอร์ต้น ๆ ของช่อง 7’ ไปเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่มุกดามองว่าตัวเองได้จากละครเรื่องนี้กลับกลายเป็น ‘การเติบโตขึ้นทางการแสดง’ เพราะได้รับบทบาทใหม่ที่ต่างไปจากเดิม ไม่ใช่ชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามาแต่อย่างใด

“โซ่เวรีเป็นบทที่ต้องใช้อารมณ์หนักขึ้น แรงขึ้น มีหลากหลายความรู้สึกที่เราไม่เคยเจอในชีวิตจริง บางครั้งมันก็ยากที่จะรู้สึกแบบนั้นได้ ต้องขอบคุณผู้กำกับ (ต่อ-ศุภฌา ครุฑนาค) พี่หนิง (หนิง-ปณิตา ธรรมวัฒนะ หัวเรือใหญ่ของ Nino Brothers ผู้จัดละครเรื่องนี้) และพี่ ๆ หลายคนที่ช่วยอธิบายอารมณ์การเจอหน้าลูกครั้งแรก ลูกเรียกแม่ครั้งแรก ทุกอย่างต้องขอให้คนมีประสบการณ์มาสอน ทำให้เราได้เรียนรู้แอคติ้งใหม่ ๆ ความรู้สึกใหม่ ๆ ในการแสดง”

159971846552

ส่วนบทที่มุกดารู้สึกว่าเล่นยากที่สุดใน ‘โซ่เวรี’ คือ การเป็นผู้บริหาร เพราะมันไกลตัวสาวน้อยวัย 24 ที่เพิ่งจบมหาวิทยาลับแบบเธอมาก เธอต้องพูดอย่างไรถึงจะให้คนเชื่อถือได้ว่า มิตา (ชื่อตัวละครในเรื่อง) เป็นผู้บริหารจริงๆ

“เวลาต้องไปนั่งโต๊ะผู้บริหารก็จะรู้สึกว่า จะเอาอยู่ไหมหนอ มันมีคิดบ้าง แต่มันเจอฉากนี้น้อย แล้วโชคดีที่บทพูดดีมาก ดูเป็นผู้ใหญ่ เลยช่วยส่งอารมณ์ไปได้ ก่อนหน้านี้เราจะเป็นเด็ก ปีนต้นไม้แบบใน 'มัสยา' แต่พอต้องมาพูดเฉือนกันในทางธุรกิจ แหวกแนวไปอีกแบบก็มีเกร็งบ้าง แต่ไม่ถึงกับเครียด ยังโอเคอยู่”

159971842748

เมื่อถามว่ามีอะไรที่คิดว่าตัวเองยังต้องปรับปรุงอยู่บ้าง มุกดาตอบกลับมาทันควัน (แสดงว่าเธอใส่ใจ คอยสังเกตการแสดงของตัวเองอยู่เสมอ) ว่า “การพูด” เพราะเธอเป็นคนชอบพูดเสียงลงคอ ถ้าไม่พยายามตั้งสติก็จะหลุดไปเลย ต้องคอยเตือนตัวเองตลอดเวลา

ส่วนเรื่องแอคติ้งก็ยังหยุดไม่ได้เช่นกัน ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะปัจจุบันมีบทบาทใหม่ๆ เข้ามาเยอะ อย่างล่าสุดเธอก็เพิ่งไปเจอบททดสอบจากการที่ต้องเล่นบทคอมเมดี้ในละครใหม่เรื่อง ‘คู่แค้นแสนรัก’ ซึ่งเป็นบทบาทที่ไกลตัวมาก และต้องทำความกับบทอย่างหนัก

“ด้วยความที่มันเป็นคอมเมดี้จ๋า เป็นโอเวอร์แอคนิดหนึ่ง เราไม่เคยเล่น ก็ต้องพยายามปรับให้มากขึ้น ในโซ่เวรีเราเล่นแบบปรกติ แต่เรื่องนั้นเราต้องดีดตัวเองตลอดเวลา พยายามกล่อมๆ ตัวเองให้เชื่อในบทให้ได้”

  • ก้าวไปทีละขั้น….ไม่มองเกินตัว

การที่คน ๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จในชีวิต ทัศนคติ การมองโลกเป็นสิ่งสำคัญ แล้วมุกดามีแอตติจูดในเรื่องของชีวิต และการทำงานอย่างไร

“เราอยากมีอนาคตที่ดี แต่เราไม่เคยมองอะไรที่มันเกินตัว เราจะค่อย ๆ ไปทีละสเต็ปที่ไหว เราจะไม่ข้ามไปในสิ่งที่เราไปไม่ถึง ถ้าเราไม่ค่อยไปทีละก้าว มันจะล้มง่าย เราอาจจะทำพลาด ทำไม่ดีพอ หลุดไปเลยหรือเปล่า

การที่หนูเข้าช่องได้เล่นละครเรื่องแรกเป็นคู่ 3 หนูเล่นเรื่องถัดไปอาจจะได้เป็นคู่ 2 เรื่องที่สามอาจจะได้เป็นคู่หนึ่ง อย่างนี้หนูแฮปปี้ เพราะว่ามันค่อย ๆ ไต่ แล้วทำให้เรารู้ว่าต้องแก้อะไรบ้าง เวลาที่เราได้บทรองๆ มันทำให้เราแก้ตัวใหม่ได้ เราต้องปรับไปทีละจุดๆ มันจะค่อย ๆ หายไป มันอาจจะไม่หายไปหมดหรอก แต่มันจะดีขึ้น

159971661671

หนูดูละครตัวเอง ดูทีวีก็รู้แล้วว่าอะไรที่ต้องแก้ ทุกวันนี้แอคติ้งที่ต้องแก้ก็ยังมี เรื่องเสียงก็ร้อยเปอร์เซนต์มีแน่ ๆ เพราะเป็นข้อที่หนูรู้ตัวอยู่แล้วว่ามันต้องแก้มากที่สุดเรื่องเสียงลงคอ ถ้าเดินแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มุกว่ามันมั่นคงแล้วอยู่ได้นาน”

แล้วการวางตัวในวงการบันเทิง คิดว่าอะไรยากที่สุด?

มุกดาตอบว่า ความเป็นตัวเองของเธอนี่แหละ เพราะเธอเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมาก การที่ต้องอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ตอนไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นมันทำให้เธอชินกับการใช้ชีวิตคนเดียว ประกอบกับมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันน้อยเลยทำให้เป็นผู้ใหญ่กว่าปรกติ

“เราต้องช่วยตัวเองเยอะตอนไปอยู่ที่นู่น ต้องไปไหนมาไหนเอง ทำงานเอง ประสานหน้างานเอง ทำกับข้าวดูแลบ้านเอง ซึ่งเรารู้สึกว่าเราอาจจะอยู่ตรงนั้นมากจนเรานิ่งไปโดยไม่รู้ตัว

ตอนอยู่ที่โน่นเราเป็นนางแบบ เราไม่จำเป็นต้องแคร์ใครมากมาย เราแคร์ที่ทำงานก็จบ ชีวิตส่วนตัวไม่มีใครมายุ่งกับเราอยู่แล้ว ตอนเราทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น เราจะทำอะไรก็ได้ แต่พอมาอยู่ตรงนี้ ที่ประเทศไทย เราเป็นบุคคลสาธารณะ แล้วหน้าหนูจะดุ เป็นคนตาดุ ก็จะมีคนมองในมุมที่ว่าน้องหน้าดุจัง น้องไม่ค่อยยิ้มเลย มันก็เป็นเรื่องปรกติ หนูก็เข้าใจ ก็ค่อย ๆ ปรับ

แรก ๆ ก็ไม่ชิน หลัง ๆ เราก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง เวลาเจอใครก็พยายามยิ้ม พยายามให้หน้าซอฟท์สุดๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เป็นคนหน้าซอฟท์ ยิ่งเวลาแต่งหน้า กรีดอายไลเนอร์ จะดูดุขึ้นมาแล้ว แค่นั่งนิ่ง ๆ หนูไม่ได้โกรธใครด้วยซ้ำ แต่หน้าหนูจะทำให้คนคิดไปก่อนเสมอ เราก็พยายามเท่าที่ทำได้ค่ะ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นจะเปลี่ยนตัวเอง"

159971663840

  • ญี่ปุ่นสอนให้รู้จักพัฒนา

มุกดาเข้าสังกัดช่อง 7 ตอนอายุ 19 แล้ว 2 ปีต่อมาก็ได้เป็นนางเอก ฟังดูเหมือนง่าย แต่เจ้าตัวบอกว่าสิ่งที่เผชิญมาไม่ได้ง่ายเลย

“จริงๆ หนูเคยท้อมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนอายุ 15 หนูมีโอกาสมาแคสช่องตอนได้มิสทีน ตอนนั้นแอคติ้งไม่ได้ บุคคลิกก็ไม่ได้ แล้วอ้วนด้วย เพราะหลังจากได้ตำแหน่งมิสทีนต้องตระเวณขอบคุณสื่อ อยู่แต่บนรถตู้ กินอาหารขยะ น้ำอัดลม ตอนนั้นหนัก 55 ตอนนี้ 44 ลงไปเกือบ 10 กิโล เลยไปแคสแล้วไม่ได้

เราหายไปปีหนึ่ง ด้วยตอนนั้นยังเด็ก เราก็อยากได้อะไรที่เร็วกว่าปรกติ ทำไมชั้นไม่ได้แบบนั้นแบบนี้ ผู้จัดการบอกให้ใจเย็น ๆ ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เราทำตัวเราเองให้ดีที่สุด ตอนนั้นเข้าใจนะ แต่ก็อยากได้ แล้วไม่ได้คิดว่าตัวเองต้องแก้อะไร แต่พอไปอยู่ญี่ปุ่นแล้วคิดอะไรได้เยอะ เพราะคนญี่ปุ่นสอนให้รู้จักพัฒนา”

มุกดาเล่าว่าตอนอยู่ญี่ปุ่น เวลาทำงาน ผู้จัดการจะไปถามเจ้าของงานเลยว่าอยากให้เธอปรับอะไรบ้าง ทางนั้นก็จะระบุมาเลย เช่น อยากให้โพสต์เก่งกว่านี้ อยากให้ไปหาสไตล์การโพสต์ที่ดูดี เข้ากับการถ่ายแบบ ซึ่งผู้จัดการก็จะไปหาหนังสือ ส่งเว็บต่าง ๆ มาให้ดูเพื่อเป็นตัวอย่างในการศึกษาอ้างอิง รวมไปถึงสอนให้ปรับตัว รู้จักแต่งหน้าแต่งตัวเวลาออกงาน

“เค้าสอนทุกอย่าง ทุกครั้งเค้าจะเอาฟี้ดแบ็คจากการทำงานกลับมาให้เราเสมอ ถ้าที่ทำงานชมเค้าก็ชม ถ้าเค้าอยากให้แก้เค้าก็เขียนมาเลย ด้วยความเป็นญี่ปุ่น เค้าจะไม่สนเลยว่าเราจะรู้สึกอย่างไร จะเมล์มา หรือมาพูดต่อหน้าเลย บางทีก็จุก แต่เค้าก็พูดเรียบ ๆ ไม่ได้โกรธอะไร คนญี่ปุ่นสไตล์นี้ แต่พอจบปุ๊บเค้าก็ยิ้ม มันเป็นการทำงานที่แฟร์ ๆ หลังจากที่หนูอยู่ญี่ปุ่นประมาณ 2 ปี กลับมาต่อวีซ่าที่ไทยก็ได้มีโอกาสไปแคสโฆษณา

เรียกว่ามาเป็นสเตปเลย ไปญี่ปุ่นได้สายแฟชั่น ได้การทำงาน การดูแลตัวเอง การอยู่คนเดียว รวมถึงระบบการใช้เงินด้วย เราต้องเมเนจ (manage) ทุกอย่าง พอกลับมาปุ๊บก็กลับมาแคสโฆษณาบวกกับแคสช่องด้วยก็ยังไม่ได้อีก ได้มาแค่มุมกล้อง ลดไปหนึ่งข้อ เค้าบอกว่า "แอคติ้งน้องดีขึ้นนะ แต่อยากให้น้องพูดชัดกว่านี้"

ก็เลยกลายเป็นว่าเราได้ไปลองชิมลางโฆษณาก่อนเพราะว่าเราโพสต์ได้ เรามีมุม รู้จักเล่นกล้อง กลายเป็นเรามาจับทางนี้ได้ ได้โฆษณา 4-5 ตัว ตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลยช่วงนั้น เราก็ไปได้จากตรงนั้น พอคนเริ่มเห็นหน้าเรา พอเราเริ่มรู้มุมกล้อง ใช้อารมณ์เป็น มันจะเป็นอารมณ์เล็ก ๆ ไม่ใช่อารมณ์เหมือนในละคร มันต้องใช้แอคติ้งแบบสั้น ๆ กลายเป็นตอนนี้เราก็เริ่มรู้แล้วว่าเราต้องทำอะไรต่อ ก็ไปเรียนแอคติ้ง แต่ไม่ได้เรียนเยอะ ไปเรียนคลาสเดียวแบบไพรเวทครั้งนึง ไปเรียนกรุ๊ปครั้งนึง เพื่อทำความเข้าใจอารมณ์ ก็เรียนไปตรงนั้นซักเกือบปีนึงถึงค่อยกลับมาแคสช่องใหม่ ถึงได้”

มุกดาย้ำว่า เธอต้องไปแคสเข้าช่อง 7 ถึง 3 รอบ แล้วยังต้องค่อย ๆ กลับมาแก้ทุกจุดที่ยังไม่โอเค

“ตอนที่ได้หนูก็เข้าใจว่ามันยังไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่มันอยู่ในปริมาณที่ยังพอไหว ฉะนั้น เราต้องมาลุ้นต่อหลังจากที่เราได้งาน ฉะนั้น หนูไม่คาดหวังเลยว่าจะได้บทเด่นดัง เพราะมันน่ากลัว เพราะเราไปไม่ถึงอยู่แล้ว ไม่หวังแล้วก็ไม่นอยด์ด้วย เรากลับดีใจด้วยซ้ำที่ได้แบบนั้น”

  • ‘ความอดทน’ คือที่สุด

ในฐานะนักแสดงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย มุกดามองว่าการจะเข้าวงการบันเทิงได้จะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง

“ความอดทน (มุกดาถึงกับร้องออกมาเป็นเพลงกันเลยทีเดียว) อยากฝากทุกคนเลยค่ะ สำหรับใครที่อยากเข้าวงการต้องมีความอดทนอันดับแรก รู้จักยอมรับข้อเสียของตัวเองแล้วเอาทุกอย่างไปพัฒนา โอกาสมันมีให้ทุกคนอยู่แล้วแต่ว่าอย่าเพิ่งรีบ เราค่อยๆ ไปดีกว่า ถ้าวันหนึ่งถึงจุดที่เราเล่นได้จริงๆ บทนั้นมันจะมาเองโดยที่คุณไม่ต้องทำอะไร เมื่อไรที่เค้าเห็นว่าคุณรับไหวคุณก็จะได้

159971705867

แล้วเมื่อเจอคำถามว่า คิดว่าเสน่ห์ของตัวเองคืออะไร คุณเชื่อไหมว่านักแสดงสาวที่ฮอตสุดๆ อยู่ในขณะนี้ คนที่ถูกหาว่าหยิ่ง (เพราะหน้าดุไปหน่อย) กลับมีรีแอคชั่นที่ตลกมาก นั่นคือ ยกมือขึ้นเกาหัว แล้วตอบกลับมาว่า คิดไม่ออก

“หนูเป็นคนจริงจังมาก หนูไม่รู้ว่ามันคือเสน่ห์ไหม บางคนอาจจะมองว่ามันเครียดไป หนูติดมาจากญี่ปุ่น มันทำให้หนูเป็นคนตรงเวลา แล้วเวลาทำงานจะจริงจัง พอจริงจังปุ๊บหน้าจะเครียด มันเหมือนคิดอยู่ตลอดเวลา แต่หนูพยายามทำให้ทุกอย่างออกมาดีเสมอ หนูอาจจะไม่ได้เก่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หนูอยากให้มันออกมาดี

แล้วพอเราย้อนถามว่า แล้วความสวยล่ะ ไม่คิดว่าเป็นเสน่ห์ของตัวเองหรือ มุกดาก็ตอบกลับมาว่า “ถ้าหนูสวยหนูต้อง (แคส) ได้ตั้งแต่รอบแรกแล้วสิ”

159971708241

มีจุดยืน แต่ไม่จำเป็นต้องแสดงออก

สำหรับการเป็นนักแสดงในยุคโซเชียลมีเดียแบบนี้นั้น มุกดามองว่ามันเป็นดาบสองคม ต้องมีสติก่อนกดไลค์ กดแชร์

“เราอยู่วงการเราก็รู้มาระดับหนึ่งว่าก่อนเราจะเสพหรือจะทำอะไรต้องหาข้อมูลดี ๆ แล้วอย่าอ่านที่เดียว มันดีตรงที่ทำให้เราได้มีพื้นที่ทำอะไรบางอย่าง ทำสินค้า ทำธุรกิจ เป็นช่องทางโปรโมท แต่ข้อเสียก็มาได้ง่ายถ้าเราพิมพ์ คิด หรือแสดงอะไรออกไปโดยที่เราคิดน้อยเกินไป มันเป็นไซด์เอฟเฟคท์ที่เร็วมาก

หลัก ๆ ถ้าเรื่องโซเชียลหนูจะเป็นคนเงียบมาก อ่าน ไม่ยุ่ง เจออะไรรับรู้ อ่านแล้วผ่านโดยไม่แสดงความคิดเห็น เรามีจุดยืนนะ แต่จุดยืนเราไม่จำเป็นต้องให้คนรู้ก็ได้ว่าเรารู้สึกอะไร เราเงียบดีกว่า”

ส่วนเรื่องในโซเชียลมีเดียที่ทำให้เสียใจ มุกดาตอบว่าก็เป็นเรื่องที่หน้านิ่งแล้วถูกหาว่าหยิ่งนั่นแหละ

“เราอธิบายไม่ได้ บางครั้งคนเห็นเราแค่แว้บเดียว แต่เค้าก็ไม่รู้หรอกว่าเราพยายามแค่ไหน ถ้าคนเห็นในอดีตหนูหนักกว่านี้อีกนะ ไม่พูดกับใครเลย ไม่ใช่หยิ่งนะ เป็นคนพูดไม่เก่งมากถึงมากที่สุด กับแม่ยังพูดน้อยเลย ด้วยความที่เราเป็นคนจริงจัง ไม่ค่อยเล่น ตอนนี้ลงมาเยอะมาก ซอฟท์ขึ้น พูดเยอะกว่าปรกติ ถ้าคนที่เคยเห็นเราในอดีตจะรู้ว่าเราพูดเยอะแล้ว

จริงๆ มันอาจจะเป็นด้วยบุคคลิกเรา ตาโต ตาเฉี่ยว แค่หนูหันหน้าหาแดดแล้วหรี่ตา หนูก็พร้อมบวกแล้ว (ฮา) มันเป็นอะไรที่ยาก หนูก็เลยคิดว่าเราปรับแล้วจบ เราจะไม่ไปนอยด์

ส่วนผลงานใหม่มีละครที่กำลังถ่ายทำอยู่เรื่อง ‘คู่แค้นแสนรัก’ ที่มุกดาจะกลับมาพบ 'ไมค์ ภัทรเดช' อีกครั้ง เป็นแนวคอมเมดี้ ที่คนดูต้องยิ้ม เป็นการพลิกคาแรกเตอร์ของทั้งคู่ จะต้องไม่เคยมีใครเห็นมุกดา และไมค์ในลุคนี้มาก่อน จากดรามากลายเป็นคอมเมดี้จ๋ามาก จนคนเห็นแล้วต้องงงว่าสองคนเล่นแบบนี้ได้ด้วยเหรอ

ผลงานอีกชิ้นเป็นภาพยนตร์แนวฆาตกรรมสืบสวนสอบสวนเรื่อง My Boss Is A Serial Killer ที่ถ่ายทำเสร็จแล้ว ต้องรอดูตามสถานการณ์โควิดว่าคลี่คลาย และได้เข้าโรงฉายเมื่อไร โดยเรื่องนี้มุกดาเล่นเป็นพนักงานออฟฟิศที่ทำงานไม่ค่อยเก่ง ขี้เกียจ แต่พอเป็นเรื่องสืบสวนสอบสวนกลับเอเนอจี้พุ่ง กลายเป็นคนละคนกับเวลาทำงาน

สุดท้าย มุกดา นรินทร์รักษ์ ฝากติดตามละคร ‘โซ่เวรี’ ทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.30 น. ทางช่อง 7HDที่ตอนนี้มาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว เธอบอกว่าเข้มข้นมาก รับรองว่าแฟน ๆ ต้องเดาไม่ออกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป เพราะจะมีจุดพีคมาตลอด เรื่องจะไม่หยุดแค่นี้ ยังมีอะไรมาอีก เรียกว่า ‘จนจะจบเรื่อง….เรื่องถึงจะจบ’