หุ้นแอ๊ปเปิ้ลทะยานรับการประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่

หุ้นแอ๊ปเปิ้ลทะยานรับการประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่

ราคาหุ้นแอ๊ปเปิ้ลพุ่งขึ้น 2.4% ในวันนี้ เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้ดีดตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนช้อนซื้อหุ้นที่ดิ่งลงก่อนหน้านี้

บริษัทแอ๊ปเปิ้ล อิงค์ แจ้งในเว็บไซต์ว่า บริษัทจะจัดงานอีเวนต์ผ่านระบบออนไลน์ที่แอ๊ปเปิ้ล พาร์คในวันที่ 15 ก.ย.เวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือเวลาเที่ยงคืนตามเวลาไทยแต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่จะเปิดตัวในวันดังกล่าวแต่อย่างใด ยกเว้นแต่เพียงประโยคที่ว่า “Time Flies.”

นายมาร์ค กรูแมน ผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์แอ๊ปเปิ้ลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง รายงานผ่านสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า การที่แอ๊ปเปิ้ลเลือกที่จะใช้ประโยค “Time Flies.” บนเว็บไซต์ เป็นการบ่งบอกว่า ในงานอีเวนต์วันที่ 15 ก.ย. แอ๊ปเปิ้ลจะเปิดตัวแอ๊ปเปิ้ล วอทช์รุ่นใหม่ แต่จะไม่รวมถึงไอโฟน12 ซึ่งจะเปิดตัวในเดือนต.ค.

ส่วนในทวิตเตอร์ของนายกรูแมนระบุว่า “การที่แอ๊ปเปิ้ลไม่ได้เชิญสื่อมวลชนไปร่วมงานอีเวนต์ที่เมืองคูเปอร์ติโน อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้แอ๊ปเปิ้ลสามารถจัดงานอีเวนต์หลายครั้งมากกว่าในสภาวะปกติ เพราะแอ๊ปเปิ้ลสามารถทำได้โดยการตัดต่อคลิปวิดีโอออกเป็นหลายครั้ง ดังนั้นเราจะเห็นแอ๊ปเปิ้ลจัดอีเวนต์ 3 ครั้งในปีนี้ คือ เดือนก.ย. (แอ๊ปเปิ้ล วอทช์/ไอแพด), เดือนต.ค. (ไอโฟน) และเดือนพ.ย. (แม็ค)”

แอ๊ปเปิ้ลจะเปิดตัวไอโฟน12 จำนวน 4 รุ่นในเดือนหน้า โดยจะเป็นรุ่นมาตรฐาน 2 รุ่น ส่วนอีก 2 รุ่นจะเป็นรุ่นไฮเอนด์ ซึ่งทุกรุ่นจะรองรับระบบ 5G ส่วนไอโฟน 12 รุ่นมาตรฐานของแอ๊ปเปิ้ลจะมีหน้าจอ 5.4“ และ 6.1” ส่วนรุ่นไฮเอนด์จะมีหน้าจอ 6.1“ และ 6.7”

ที่ผ่านมา แอ๊ปเปิ้ลมักเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆในเดือนก.ย. แต่ปีนี้ได้เลื่อนเวลาออกไป อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

อย่างไรก็ตาม แรงเทขายของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ฉุดให้มูลค่าตลาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ 6 แห่งในกลุ่มเทคโนโลยีลดลงมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมูลค่าตลาดของแอ๊ปเปิ้ลลดลง 3.25 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนไมโครซอฟท์ลดลง 2.19 แสนล้านดอลลาร์ อเมซอนลดลง 1.91 แสนล้านดอลลาร์ อัลฟาเบทลดลง 1.35 แสนล้านดอลลาร์ และเทสลาลดลง 1.09 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนเฟซบุ๊กลดลง 8.9 หมื่นล้านดอลลาร์

แม้มูลค่าตลาดของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีดังกล่าวร่วงลงในช่วง 3 วันที่ผ่านมา แต่การที่หุ้นเหล่านี้ทะยานขึ้นนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ก็ช่วยให้บริษัทดังกล่าวยังคงมีมูลค่าตลาดในระดับสูง โดยนับจนถึงต้นปีนี้ บริษัททั้ง 6 แห่งมีมูลค่าตลาดรวมกันราว 5 ล้านล้านดอลลาร์ และหากพิจารณาถึงวันที่ 2 ก.ย. พบว่า บริษัททั้ง 6 มีมูลค่าตลาดสูงถึง 8.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนที่จะลดลงเหลือ 7.1 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะปิดตลาดเมื่อวันอังคาร(8ก.ย.) แต่ยังคงมีมูลค่ามากกว่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ หากเทียบกับช่วงต้นปีนี้