"Energy" Sector (8 ก.ย.63)

"Energy" Sector (8 ก.ย.63)

การปรับครั้งใหญ่

Event

ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา เราได้ปรับลดประมาณการกำไรรวมของบริษัทพลังงานขนาดใหญ่สิบแห่งในปี 2563 ลง 66% เหลือ 5.06 หมื่นล้านบาท และปี 2564 ลง 27% เหลือ 1.48 แสนล้านบาท เนื่องจากผลกระทบของ COVID-19 (Figure 3)

Impact

ตลาดนํ้ามันดิบ: อุปสงค์นํ้ามันดิบฟื้นตัว แต่ upside จำกัดเพราะมีสต็อกนํ้ามันดิบในโลกสูง

เรายังคงใช้สมมติฐานว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเพิ่มขึ้นจาก US$45/bbl ในปี 2563 เป็น US$53/bbl ในปี 2564 โดยยังคงสมมติฐานราคาระยะยาวเอาไว้ที่ US$55/bbl เนื่องจาก i) สมาชิกกลุ่ม OPEC+ ปฏิบัติตามข้อตกลงลดอุปทานอย่างแข็งขัน และ ii) อุปสงค์ฟื้นตัวขึ้นจากสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายลงไป โดยอัตราการปฏิบัติตามข้อตกลงลดอุปทานของสมาชิก OPEC+ สูงถึง 97% ในเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ Energy Information Administration (EIA) ของสหรัฐก็คาดว่าอุปสงค์น้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้น 7.0MBD YoY ในปี 2564 จากที่ลดลง 8.1MBD ในปี 2563 ตามรายงาน Short-Term Energy Outlook (STEO) ฉบับเดือนสิงหาคม โดยถึงแม้ว่าปริมาณการผลิตที่ลดลงของ OPEC+ จะน้อยลงจากเดิมที่ 9.7MBD เหลือแค่ 7.7MBD ในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2563 และ 5.7MBD ในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน 2564 แต่ก็ยังถือว่าเป็นปริมาณการผลิตที่ลดลงมากกว่าสถานการณ์ปกติอย่างมาก ซึ่งจะช่วยลดสต็อกน้ำมันดิบส่วนเกินทั่วโลกซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 1,165 ล้านบาร์เรลใน 1H63 จากสถานการณ์โรคระบาด ดังนั้นเราจึงคาดว่าสต็อกน้ำมันดิบทั่วโลกจะจำกัด upside ของราคาน้ำมันดิบไปจนถึง 1H64

ตลาดโรงกลั่น: แนวโน้ม spread ของผลิตภัณฑ์จากการกลั่นดูไม่สดใสใน 2H63

เราปรับลดสมมติฐาน spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลลงเหลว US$5.0/3.0/8.0/bbl ในปี 2563 และ US$9.0/6.0/12.0/bbl  ในปี 2564 เพราะผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 โดยในระยะสั้น เราเชื่อว่า base GRM ใน 3Q63 ของโรงกลั่นในประเทศไทยจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ QoQ เนื่องจากต้นทุน crude premium เพิ่มขึ้นกลับมาสู่ระดับปกติ หลังจากที่ซาอุดิอาระเบียประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการ (OSP) ในตลาดเอเซียโดยกำหนด premium ที่ US$0.8/bbl ใน 3Q63 เพิ่มขึ้น QoQ จาก –US$5.7/bbl ใน 2Q63 แต่อย่างไรก็ตาม การที่หลายประเทศผ่อนคลายมาตรการ lockdown ลงก็จะช่วยหนุน spread ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลให้ดีขึ้น ในขณะที่ spread ของน้ำมันเครื่องบินจะยังคงอ่อนแอ ทั้งนี้มีโรงกลั่นหลายแห่งเลือกลดการผลิตน้ำมันเครื่องบินและหันมาเพิ่มการผลิตน้ำมันดีเซลแทน ส่งผลให้อุปทานนำมันดีเซลเพิ่มขึ้นและทำให้จำกัด upside ของ spread ของน้ำมันดีเซล โดยเราหวังว่าอุปสงค์น้ำมันดีเซลที่มักจะสูงในช่วงฤดูหนาวใน 4Q63-1Q64 จะช่วยหนุนให้ spread ของน้ำมันดีเซลขยับเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า US$10/bbl

ตลาดโอเลฟินส์: ราคาโอเลฟินส์จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นจากระดับจุดต่ำสุดใน 2Q63

เราปรับเพิ่มสมมติฐาน spread ของ HDPE/LLDPE/LPDE ขึ้นอีก 8-16% เป็น US$470/470/560/ton ในปี 2563 และ US$500/500/560/ton ในปี 2564 เนื่องจากสมมติฐานเดิมของเราอนุรักษ์นิยมเกินไป เราเชื่อว่าราคา polyethylene (PE) ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 2Q63 และจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ราคา PE จะยังคงถูกกดดันจากอุปทาน PE ใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาในตลาดอีก 7MTA ในปี 2563-65 ในขณะที่อุปสงค์ในช่วงก่อน COVID-19 เพิ่มขึ้นเพียงแค่ 4MTA เท่านั้นตามข้อมูลของ IHS Markit

ตลาดอะโรเมติกส์: ตลาดอะโรเมติกส์อ่อนแอลงเนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา

เราปรับลดสมมติฐาน spread ของ PX และ BZ ลง 19-35% เหลือ US$230/ton และ US$120/ton ในปี 2563 และ 14-24% เหลือ US$280/ton และ US$170/ton ในปี 2564 ตามลำดับ เพราะถูกกดดันจากโรงงาน aromatics ใหม่ขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีอุปทาน PX ใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดเอเชียและตะวันออกกลางถึง 8.0MTA ในปีนี้ และ 2.2MTA ในปีหน้า

Valuation and action

เพิ่ม PTT เข้ามาในรายการหุ้นเด่นกลุ่มพลังงานของเรา

เราปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น PTT Pcl. (PTT.BK/PTT TB)* จาก ถือ เป็น ซื้อ จากแผนนำ PTT Oil and Retail Business Company Limited (PTTOR) เข้าตลาด ซึ่งเราคาดว่าจะได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ภายในเดือนกันยายน 2563 โดยในเบื้องต้นเราคาดว่าการนำหุ้น PTTOR เข้าตลาดจะทำให้หุ้น PTT มี upside อีกอย่างน้อย 3.00 บาท/หุ้น ซึ่งเรายังไม่ได้รวมเข้าไว้ในการประเมินมูลค่าหุ้น PTT นอกจากนี้ ตามข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน ปริมาณการใช้น้ำมันในประเทศไทยในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเป็น 3,345 ล้านลิตร ซึ่งเพิ่ม 20% จากลงไปทำสถิติต่ำสุดที่ 2,798 ล้านลิตรในเดือนเมษายน ดังนั้น PTT ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมันมากที่สุดในประเทศก็น่าจะได้อานิสงส์จากแนวโน้มการใช้น้ำมันที่กลับมาอยู่ในขาขึ้นอีกครั้ง ใขณะเดียวกันเรายังคงคำแนะนำซื้อ Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)*, Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)* และ ESSO Thailand (ESSO.BK/ESSO TB)* เนื่องจากเราคาดว่า base GRM จะฟื้นตัวขึ้นในปี 2564 จากอุปสงค์ของน้ำมันในตลาดโลกฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงปกติ และอุปทานโรงกลั่นใหม่เพิ่มเข้ามาไม่มากในตลาดในช่วงปี 2563-65 แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าค่าการกลั่นใน 3Q63 จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ เรายังคงคำแนะนำซื้อ PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC)* เนื่องจากคาดว่ากำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2564 เนื่องจาก i) เริ่มเปิดดำเนินโครงการ olefins reconfiguration project (ORP) และโครงการ PO/Polyols และ ii) ราคา PE ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดใน 2Q63

คงคำแนะนำถือ PTTEP, BCP, IRPC, IVL และ BANPU

ถึงแม้เราจะเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะดีดตัวขึ้น YoY จาก US$45/bbl ใน 2563 เป็น US$53/bbl ในปี 2564 แต่เราคาดว่าผลประกอบการของ PTT Exploration & Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)* จะยังคงถูกกดดันอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากราคาขายก๊าซที่จะลดลง YoY จาก US$6.0/mmbtu ในปีนี้เหลือ US$4.8/mmbtu ในปีหน้า ในขณะเดียวกันเราคาดว่าราคาหุ้น Bangchak Corporation (BCP.BK/BCP TB)* ยังจะถูกกดดันจากแผนเพิ่มทุนของ BCPG Pcl. (BCPG.BK/BCPG TB)* ซึ่งเป็นบริษัทลูกไปอีกระยะหนึ่ง ในขณะที่เรายังมีมุมมองเป็นกลางสำหรับ IRPC Pcl. (IRPC.BK/IRPC TB)* เนื่องจากเราขอติดตามผลจากโครงการ New Organization with Agile Human (NOAH) ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่าย SG&A ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงได้ในระยะยาว ทั้งนี้แม้ว่ากำไรสุทธิของ IVL ใน 2H63 จะมีแนวโน้มดีขึ้น YoY เพราะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกก้อนใหญ่เหมือน 1H63 แต่เรายังคงเป็นห่วงแนวโน้มกำไรจากธุรกิจหลักของบริษัท เนื่องจากอุปทาน PTA ใหม่ในปี 2563-64 อยู่ในระดับสูง และผ่านช่วงที่อุปสงค์ PET สูงตามฤดูกาลไปแล้วในไตรมาสที่สองของทุกปี โดยถึงแม้ว่าเราจะยังคงมองลบกับแนวโน้มตลาดถ่านหิน แต่เนื่องจากราคาหุ้น BANPU (BANPU.BK/BANPU TB)* ยังถูกกว่าราคาเป้าหมายของเรา ซึ่งประเมินโดย i) กำหนดมูลค่าธุรกิจถ่านหินเป็นศูนย์ และ ii) ประเมินมูลค่าหุ้น 79% ที่ถือใน Banpu Power (BPP.BK/BPP TB)* โดยใช้ discount ที่ 30%