จากกรณีสตรีที่ทำทานมากกว่า 'วอร์เรน บัฟเฟต'

จากกรณีสตรีที่ทำทานมากกว่า 'วอร์เรน บัฟเฟต'

ทำความรู้จัก "ดอริส บัฟเฟต" พี่สาวของ "วอร์เรน บัฟเฟต" มหาเศรษฐีชื่อดังของโลก ที่ทุ่มเทเวลาให้แก่กิจการทำทาน ด้วยวิธีวิธีเปิดโอกาสให้ผู้ประสงค์ขอรับความช่วยเหลือเขียนจดหมายอธิบายเหตุผลไปหามูลนิธิของเธอโดยตรง 

คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า “วอร์เรน บัฟเฟต” เคยเป็นมหาเศรษฐีลำดับ 1 ของโลก แม้ในปัจจุบันเขาจะได้เสียตำแหน่งนั้นให้แก่มหาเศรษฐีรุ่นหลังแล้ว แต่เขายังมีทรัพย์สินราว 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ย้อนไปเมื่อปี 2549 วอร์เรน บัฟเฟต ประกาศว่าเขาจะมอบทรัพย์สินของเขาเกือบทั้งหมดเป็นทาน ต่อมาอีกไม่นาน เขาได้ร่วมกับ “บิล เกตส์” ก่อตั้งกลุ่มมหาเศรษฐีที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะมอบอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินเป็นทานเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เขาเองจะมอบ 99% ของทรัพย์สิน ส่วนบิล เกตส์ จะมอบ 95%

ทั้ง 2 คนได้เริ่มทำตามคำมั่นสัญญานั้นมาอย่างต่อเนื่อง บิล เกตส์ ทำทานผ่านมูลนิธิของเขาปีละหลายพันล้านดอลลาร์ ต่อมาวอร์เรน บัฟเฟตประกาศความตั้งใจว่าจะค่อยๆ มอบทรัพย์สินให้มูลนิธิของบิล เกตส์บริหาร หลังจากวันนั้น เขาได้โอนทรัพย์สินปีละหลายพันล้านดอลลาร์ไปให้มูลนิธิดังกล่าวและเมื่อเขาถึงแก่กรรม ทรัพย์สินที่เหลือทั้งหมดจะถูกโอนตามไป

ทั้งที่ได้มอบทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์แล้วนับหมื่นล้านดอลลาร์ แต่วอร์เรน บัฟเฟต ยังพูดว่าเมื่อเทียบกับพี่สาวของเขาแล้ว เขายังแพ้พี่สาวทั้งที่มีรายงานว่าพี่สาวทำทานไปราว 200 ล้านดอลลาร์เท่านั้น วอร์เรน บัฟเฟต อธิบายว่าสิ่งที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินคือเวลา ซึ่งในแต่ละวันมนุษย์เรามีเท่ากัน เขาทำทานนับหมื่นล้านดอลลาร์ก็จริง แต่ไม่ได้มอบเวลาพร้อมกันไปด้วย จึงมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าวิธีของเขาเปรียบเสมือนการขายส่ง ส่วนพี่สาวของเขาทุ่มเทเวลาให้แก่กิจการทำทาน จึงเปรียบเสมือนการทำกิจการขายปลีก

การทุ่มเทเวลาพร้อมกับทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของดอริส บัฟเฟต เกิดจากวิธีทำทานแบบเปิดโอกาสให้ผู้ประสงค์ขอรับความช่วยเหลือเขียนจดหมายอธิบายเหตุผลไปหามูลนิธิของเธอโดยตรง 

ดอริสและจิตอาสาจะช่วยกันอ่านจดหมายทุกฉบับ และค้นหาข้อมูลประกอบมาพิจารณาว่าสมควรจะช่วยหรือไม่ แต่ละวัน มูลนิธิได้รับจดหมายจำนวนมาก ยังผลให้ดอริสเองต้องทำงานเต็มเวลากับคณะจิตอาสาเพื่อพิจารณาแต่ละกรณี เมื่อน้องชายประกาศว่าจะมอบทรัพย์สินนับหมื่นล้านดอลลาร์เป็นทาน บางวันเขาได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือเป็นพันฉบับ ซึ่งเขาโอนไปให้พี่สาวกับคณะจิตอาสาพิจารณาแทน

ผู้เขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากดอริส บัฟเฟต มีเหตุผลหลากหลาย จำนวนมากยากจนและบางคนขอเพียงแผ่นหินสลักชื่อบนหลุมฝังศพ หรือเพียงค่ารถเข็น บางคนประสบภาวะฉุกเฉิน

แต่ในขณะเดียวกันก็มีพวก 18 มงกุฎที่ใช้ข้อมูลเท็จซึ่งเพิ่มภาระให้แก่คณะจิตอาสา นอกจากการช่วยเหลือแบบนี้แล้ว ยังมีการช่วยเหลือแบบต่อเนื่องอย่างเป็นระบบอีกด้วย เช่น การช่วยเหลือสตรีที่ถูกสามีทำร้ายและนักโทษที่เพิ่งพ้นโทษในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ชีวิตใหม่โดยให้ทุนฝึกวิชาชีพ และการช่วยเหลือผู้มีสภาพจิตไม่สมประกอบ

เรื่องการสละเวลาเป็นทานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นนี้ วอร์เรน บัฟเฟต มิใช่ยกย่องเฉพาะพี่สาวของตนเท่านั้น หากยังยกย่องจิตอาสาโดยทั่วไปอีกด้วย หากมองจากมุมของหลักเศรษฐศาสตร์ที่ว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจจะเพิ่มมากที่สุดเมื่อการแบ่งงานกันทำนำไปสู่ผู้ทำงานได้ทำตรงตามความสามารถสูงสุดของตน

จุดยืนของวอร์เรน บัฟเฟตน่าจะถูกต้อง ทั้งนี้เพราะเขามีความสามารถสูงสุดในด้านการแสวงหาทรัพย์สิน เขาจึงควรใช้เวลาแสวงหาทรัพย์สินแล้วสละทรัพย์สินนั้นเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนผู้ที่มีความสามารถน้อยกว่าควรสละเวลาช่วยเหลือผู้อื่นโดยตรงตามแนวพี่สาวของเขา ตามหลักคิดนี้ ผู้ไม่มีความสามารถสูงทางด้านการแสวงหาทรัพย์สินจนร่ำรวยย่อมช่วยเหลือผู้อื่นได้ไม่น้อยกว่าวอร์เรน บัฟเฟต