เปิดโผ'5หุ้น'ต่างชาติช้อนซื้อ  สวนตลาดถูกเทขายหนัก

เปิดโผ'5หุ้น'ต่างชาติช้อนซื้อ  สวนตลาดถูกเทขายหนัก

บล.เอเซีย พลัส เปิดโผ 5 หุ้นต่างชาติซื้อสุทธิ “ปูนซิเมนต์ไทย-เซ็นทรัลรีเทล-ไทยยูเนี่ยน -ทิสโก้ไฟแนนเชียล-ศรีตรัง”  สวนทางภาพรวมเทขายในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมารวมกว่า 1.82 หมื่นล้าน

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า  ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา (27 ส.ค.- 2 ก.ย.2563) นักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท และขายผ่านใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย(NVDR) อีกกว่า 2.2 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.82 หมื่นล้านบาท แม้ภาพรวมการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะเป็นขายมาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่หากเจาะลึกข้อมูลเข้าไปกลับพบว่าเริ่มมีแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติกลับมาในบางหุ้นตัว

โดยฝ่ายวิจัย ASPS ได้ตรวจสอบการซื้อขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามี 5 หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติทยอยซื้อสุทธิสะสมทั้งโดยตรงและผ่าน NVDR อย่างชัดเจน ได้แก่บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA,บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC,บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC,บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือTU และบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือTISCO ซึ่งถือว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีแรงซื้อสวนทางกับภาพรวมที่ต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นไทยตลอดทุกวัน

ขณะที่เชื่อว่า 5 หุ้นดังกล่าวยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้ ทั้งจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งและเริ่มเห็นแรงซื้อต่างชาติกลับเข้ามาช่วยหนุนอีกแรง ประกอบกับคาดว่ามีโอกาสที่กระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้ในระยะต่อจากนี้ เนื่องจากปัจจุบันเงินฝากในระบบปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 15.5 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่ามาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นที่ลดลงเหลือระดับ 14.4 ล้านล้านบาท จึงมีแนวโน้มที่เงินฝากจะล้นระบบและมีโอกาสไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเพิ่ม ซึ่งเชื่อว่า เมื่อนักลงทุนต่างชาติเห็นโอกาสดังกล่าวน่าจะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตามไปด้วย

นายกรภัทร วรเชษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล. โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ประเมินกระแสฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติิช่วงนี้ยังเป็นมุมมองลักษณะกลางถึงลบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากยังมีแรงกดดันในหลายๆเรื่องทั้งภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่อาจฟื้นตัวได้ช้า,กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ถูกปรับลดประมาณการลง ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นไทยแพง รวมถึงประเด็นเรื่องการเมืองที่ยังคงร้อนแรงในตอนนี้

อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังมีโอกาสไหลเข้ามาหากสถานการณ์ต่างๆชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เริ่มฟื้นตัวได้เร็ว อาทิ กลุ่มส่งออกอาหาร,ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสที่กระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้ามากที่สุด