‘ไมโครลิสซิ่ง’จ่อขายไอพีโอ โบรกประเมินราคา3.40บาท

‘ไมโครลิสซิ่ง’จ่อขายไอพีโอ  โบรกประเมินราคา3.40บาท

“ไมโครลิสซิ่ง” เตรียมขายไอพีโอ  235 ล้านหุ้น ปลายเดือนก.ย.นี้  คาดเข้าเทรดในตลท. ไตรมาส 4/63 หวังระดมเงินขยายธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ-ชำระคืนหนี้เงินกู้  จากสำรวจบื้องต้นโบรกประเมินราคาเฉลี่ย3.40 บาท

นายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทที่ปรึกษาเอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MICRO เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ MICRO แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 235 ล้านหุ้น ได้ภายในช่วงปลายเดือน ก.ย.นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563

สำหรับการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ ปัจจุบันมีการสำรวจราคาจากบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ออกมา ซึ่งมีการให้ช่วงราคาเบื้องต้นไว้ที่ระดับ 3.20-3.78 บาทต่อหุ้น หรือหากคิดเป็นระดับเฉลี่ยที่ 3.40 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่ได้กำหนดราคาเสนอขายออกมาเท่าไหร่ เพราะต้องรอกระบวนการหลังจากนี้

ขณะที่ในส่วนของเป้าหมายในการระดมทุนของบริษัทนั้น บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ, ชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงินที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 700 ล้านบาท รวมถึงใช้สำหรับการลงทุนขยายอาคารสำนักงานและลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ

นายวินิตย์ ปิยะเมธาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MICRO กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง โดยมีประสบการณ์และความชำนาญในการดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลากว่า 25 ปี โดยบริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 935 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 935 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1.00 บาทต่อหุ้น มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 700 ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นสามัญจำนวน 700 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชน ทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 935 ล้านบาท

ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% ต่อปี และพอร์ตสินเชื่อคงค้างคาดว่าจะแตะระดับ 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2565 จากงวดไตรมาส 2 ปี 2563 ที่บริษัทมีพอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2,141 ล้านบาท เนื่องจากเชื่อว่าศักยภาพการเติบโตของธุรกิจยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาจะเข้ากระทบหลายธุรกิจ แต่กำไรของบริษัทก็ยังสามารถเติบโตได้ พร้อมตั้งเป้าจะควบคุมหนี้ที่มิก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่ให้เกิน 3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.7%