โรงสีวอนรัฐช่วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพยุงกิจการ

โรงสีวอนรัฐช่วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพยุงกิจการ

นายกสมาคมโรงสีฯ โอดภัยแล้งทำพิษผลผลิตข้าวปริมาณลดลงสีไม่เต็มกำลังการผลิต แบกรับภาระอ่วม วอนรัฐช่วย แต่ยืนยันรับซื้อทุกเมล็ดจากชาวนา

นายเกรียงศักดิ์  ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย เปิดกเผยว่า สถานการณ์ข้าวไทยในปัจจุบันยอมรับว่ายากต่อการคาดการณ์เนื่องจากประเทศไทยประสบปัญหาฝันฝนขาดช่วง หรือภัยแล้งต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 2 แล้ว และปีนี้ก็ถือเป็นปีที่ 3 ที่ประสบปัญหาดังกล่าว ทำให้ผลผลิตข้าวออกมาในแต่ละพื้นที่คลาดเคลื่อน เช่น ในเดือนส.ค.พื้นที่ลุ่มภาคกลางบางส่วนเพิ่งจะทำการหว่านข้าวเพาะปลูกจากเดิมเป็นช่วงที่ต้องเป็นช่วงระยะเก็บเกี่ยวทำให้การเก็บเกี่ยวในปีนี้ของพื้นที่ดังกล่าวเลื่อนเป็นช่วงปลายปีคือเดือนต.ค.-พ.ย. ซึ่งก็จะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับผลผลิตข้าวจากภาคเหนือและอิสานที่จะออกมาในช่วงนั้นพอดี ส่งผลให้ผลผลิตกระจุกตัว และอาจมีปัญหาด้านราคาตกต่ำไปบ้าง ซึ่งภาครัฐจะต้องเตรียมเข้ามากำกับดูแลราคาข้าวในช่วงนั้น

อย่างไรก็ตาม ทางโรงสีก็พร้อมรับซื้อข้าวจากชาวนาทุกเมล็ดเพราะกำลังการผลิตในภาพรวมของโรงสีทั่วประเทศมีกว่า 120 ล้านตันต่อปี ขณะที่ผลผลิตข้าวทั้งประเทศมีเพียง 30-31 ล้านตันต่อปี และเมื่อเกิดภัยแล้งก็ยิ่งทำให้ผลผลิตข้าวลดลงกว่าเดิมกว่าเดิม ส่งผลให้โรงสีทำงานได้ไม่เต็มกำลังการผลิตหรือทำได้เพียง 50-60%ของกำลังการผลิตที่มีอยู่เท่านั้น สำหรับมูลค่าของอุตสาหกรรมโรงสีข้าวไทยนั้นอยู่ที่ประมาณ 2-3 แสนล้านบาทซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ขณะที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ส่งผลให้บางแห่งขาดทุน แบกรับภาระโดยเฉพาะค่าแรง ซึ่งแม้ว่ากำลังการผลิตจะลดลงแต่ในวงการโรงสีไม่มีการปลดหรือเลิกจ้างแรงงานเลย รวมทั้งยังต้องจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยกันต่อไป ซึ่งอยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแลเรื่องการปล่อยสินเชื่อ หรือพักชำระหนี้เพราะที่ผ่านมามีเพียงการให้ความช่วยเหลือในภาพรวมแต่ไม่มีการให้ความช่วยเหลือโรงสีเป็นการเฉพาะ

นอกจากนี้ ยังเป็นห่วงในเรื่องของการส่งออกข้าวของผู้ประกอบการส่งออก ที่เร่งส่งออกข้าวให้ได้มากที่สุดจนอาจไม่ได้มีความรอบคอบในการตรวจสอบโบรกเกอร์ว่าเชื่อถือได้หรือไม่ เนื่องจากผู้ขายยังมีมากกว่าผู้ซื้อ จึงมีการปล่อเครดิตกันเป็นเวลานาน และทำให้เกิดปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ค่าข้าวกับผู้ส่งออกไทยหลายราย เพราะหากผู้ส่งออกถูกโกงหรือเบี้ยวชำระหนี้ก็จะส่งผลต่อธุรกิจโรงสีเช่นกันเพราะการซื้อขายข้าวระหว่างผู้ส่งออกกับโรงสีส่วนใหญ่ก็เป็นการค้าขายในระบบเครดิตเช่นกัน ดังนั้นหากผู้ส่งออกโดนโกงก็จะทำให้ไม่มีเงินมาชำระให้กับโรงสี

        

นายเกรียงศักดิ์ ยังกล่าวถึงยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี2563-2567ว่า เห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ดังกล่าว เพราะมีเป้าหมายทำให้ไทยเป็นผู้นำด้านการผลิต การตลาดและผลิตภัณฑ์ข้าวแปรรูปในตลาดโลกโดยเฉพาะนโยบาย”ตลาดนำการผลิต”ที่ได้จัดกลุ่มข้าวไทยออกเป็น7ชนิดตามความต้องการของตลาด คือ ตลาดพรีเมียม ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมมะลิไทย ตลาดทั่วไป ข้าวขาวพื้นนุ่ม ข้าวขาวพื้นแข็ง ข้าวนึ่ง และตลาดเฉพาะ ข้าวเหนียว ข้าวสีและข้าวคุณลักษณะพิเศษ ส่วนตลาดแบ่งออกเป็น3ตลาด1.ตลาดพรีเมียม2.ตลาดทั่วไป3.ตลาดเฉพาะ สำหรับพันธกิจ4ด้านที่จะดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ข้าวไทยปี2563-67ประกอบด้วย1.ตลาดต่างประเทศ จะมุ่งเน้นในเรื่องการสนองต่อความหลากหลายของตลาดข้าวซึ่งมีความต้องการข้าวที่หลากหลายชนิดที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวพื้นนุ่มที่เป็นความต้องการของตลาดในปัจจุบัน โดยเฉพาะการเร่งเพิ่มพันธุ์ข้าวใหม่ไม่น้อยกว่า12พันธุ์ มุ่งเน้นพันธุ์ข้าวที่มีลักษณะ สั้น เตี้ย ดก ดี โดยมีข้าวพื้นนุ่ม4พันธุ์ ข้าวพื้นแข็ง4พันธุ์ ข้าวหอมไทย2พันธุ์ และข้าวโภชนาการสูง2พันธุ์ และจะเร่งเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันเฉลี่ย450กิโลกรัม (กก.)ต่อไร่ เพิ่มเป็นเฉลี่ย600กก.ต่อไร่ ภายใน5ปี และบางชนิดน่าจะเพิ่มเป็น1,000กก.ต่อไร่ได้ และจะดำเนินการประกวดข้าวพันธุ์ใหม่อย่างน้อยปีละ1ครั้ง เพื่อส่งเสริมให้มีการวิจัยพัฒนาพันธุ์เพื่อนำไปสู่การแข่งขันในตลาดข้าวโลกได้ต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องเร่งดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรม

ด้านนายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า สถานการณ์ส่งออกข้าว7เดือนของปีนี้ส่งออกได้3.3ล้านตันเท่านั้น ทำให้ไม่มั่นใจว่าทั้งปีจะถึง6.5ล้านตันหรือไม่ แต่ต้องดูว่าผลผลิตข้าวนาปีในช่วง3เดือนสุดท้ายจะมีผลผลิตข้าวออกมามากน้อยแค่ไหน ส่วนราคาข้าวขาว5% FOB ราคา500กว่าดอลลาร์เวียดนาม470-478ดอลลาร์ อินเดีย370ดอลลาร์ ปากีสถาน380-390 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้คำสั่งซื้อข้าวของไทยเงียบเหงาเพราะราคาข้าวจากประเทศคู่แข่งของไทยต่ำกว่าข้าวจากไทยมาก