‘กัลฟ์’เร่งเครื่องปั๊มรายได้ ตั้งเป้าปี 70 แตะ 1.7 แสนล้านบาท

‘กัลฟ์’เร่งเครื่องปั๊มรายได้ ตั้งเป้าปี 70 แตะ 1.7 แสนล้านบาท

“กัลฟ์” ตั้งเป้าโกยรายได้ปี 70 แตะ 1.5-1.7 แสนล้านบาท เหตุโรงไฟฟ้าทยอยจ่ายไฟเข้าระบบ-ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานเริ่มรับรู้รายได้ เร่งเดินหน้าขยายกำลังการผลิตเป็น 8,098 เมกะวัตต์ตามแผน พร้อมทุ่มเงินลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าอีกกว่า 1 แสนล้าน

บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ตั้งเป้าหมายรายได้ระยะยาวใน 7 ปีข้างหน้า หรือในปี 2570 จะมีรายได้แตะ 1.5-1.7 แสนล้านบาท ส่วนในปีนี้คาดว่ารายได้รวมจะอยู่ที่ระดับ 3.7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากฐานรายได้ของบริษัทจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังจากที่โครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ของบริษัทได้ทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามแผน

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF กล่าวว่า แผนการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเยอรมนีขนาดกำลังผลิต 465 เมกะวัตต์ (MW) เข้ามาในช่วงไตรมาส 4ปี2563 

ขณะที่ในช่วงปี 2564-2565 โรงไฟฟ้า IPP กัลฟ์ ศรีราชา ขนาดกำลังผลิต 2,650 MW,โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เวียดนามจำนวน 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 228 MW และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติกำลังผลิต 326MW ที่โอมานจะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบ รวมถึงโครงการที่ร่วมทุนกับมิตซุยเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำเย็นในโครงการ One Bangkok เฟส 1 คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้

นอกจากนี้ ภายในปี 2566-2567 โรงไฟฟ้ากัลฟ์ปลวกแดงขนาดกำลังผลิต 2,650 MW และโรงไฟฟ้าหินกองกำลังผลิต 1,400 MW จะเริ่มทยอยจ่ายไฟเข้าระบบ รวมถึงยังเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการมอเตอร์เวย์สาย M6 และ M81,โครงการท่าเรือมาบตาพุด และโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 

ขณะเดียวกันในปี 2568 บริษัทจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซ LNG ที่ประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังผลิต 6,000 MW และในปี 2570 จะเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าบูรพากำลังการผลิต 540 MW และรับรู้รายได้จากคลังเก็บก๊าซ LNG ในโครงการมาบตาพุดเฟส 3

นอกจากนี้คาดว่าภายในปี 2572-2573 บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานเขื่อนที่ประเทศสปป.ลาว ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อเข้าลงทุนอยู่จำนวน 3 โครงการ ซึ่งคิดเป็นขนาดกำลังผลิตรวม 2,400 MW ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในช่วงสิ้นปีนี้

นางสาวยุพาพิน กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน (เดือนก.ย.2563) บริษัทมีจำนวนโรงไฟฟ้าทั้งหมด 37 แห่งภายใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย,เวียดนาม,โอมาน และประเทศเยอรมนี โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมอยู่ที่ระดับ 5,944 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งหากคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นจะอยู่ที่ระดับ 2,726 MW 

โดยบริษัทตั้งเป้าภายในปี 2570 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมอยู่ที่ระดับ 14,385 MW หรือคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ราว 8,098 MW โดยจะมาจากโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างตามแผน อาทิ โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) 2 โครงการขนาดกำลังการผลิตรวม 5,000 MW,โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง,โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ รวมถึงการลงทุนเพิ่มเติมโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศโอมานและเวียดนาม

ส่วนด้านแผนการลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2563-2567) นั้น บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินลงทุนปีนี้ราว 45,000 ล้านบาท และงบลงทุนในช่วงปี 2564-2567 อีกประมาณ 55,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ในโครงการการเข้าซื้อกิจการบางส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเยอรมนี,การก่อสร้างโรงไฟฟ้า IPP ,โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่โอมาน,โรงไฟฟ้าหินกอง,โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เวียดนาม และธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน

นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสนใจที่จะเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ,อังกฤษ,เนเธอร์แลนด์ และเวียดนาม ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเน้นโรงไฟฟ้าที่ก่อสร้างจ่ายไฟเข้าระบบเรียบร้อยแล้วเพื่อให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้ทันทีและจะต้องให้ผลตอบแทนของการลงทุน (IRR) ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 10%