งานเข้า 'เพิ่มพูน ชิดชอบ' พร้อมตร. 20 นาย สตช.ตั้งจเรฯพิจารณาโทษเอี่ยวคดีบอส

งานเข้า 'เพิ่มพูน ชิดชอบ' พร้อมตร. 20 นาย สตช.ตั้งจเรฯพิจารณาโทษเอี่ยวคดีบอส

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช. ยอมรับผลตรวจสอบคดีบอส อยู่วิทยา งานเข้า "เพิ่มพูน ชิดชอบ" พร้อม 20 นายตำรวจ ตั้งจเรฯพิจารณาโทษ

จากการชี้แจง นายวิชา มหาคุณ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณี คำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญานายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต เมื่อปี 2555 ที่แถลงข่าวไปเมื่อวานนี้ว่า พบความผิดปกติ มีการช่วยเหลือในทางคดีในลักษณะเป็นขบวนการ และเห็นควรพิจารณาโทษทางวินัย และอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

วันนี้ 2 กันยายน 2563 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) แถลงความคืบหน้าการดำเนินการในส่วนของตำรวจ โดยยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยอมรับผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แสดงความรับผิดชอบโดยการเข้ามากำกับดูแลการสอบสวน และสั่งการเรื่องนี้ทันที อีกทั้งผลการดำเนินการที่ผ่านมา ก็สอดคล้องกับความเห็นของนายวิชา ที่ดำเนินการไปแล้วหลายส่วน เช่น การตั้งสำนวนการสอบสวนใหม่จนมีการออกหมายจับ และส่งสำนวนคดีให้อัยการรับไปพิจารณา , การเอาผิดทางวินัยกับตำรวจ 21 นาย ที่เสนอรายชื่อให้ ตั้งจเรตำรวจพิจารณาโทษไปแล้ว และในจำนวนนี้มีรายชื่อของ พลตำรวจโทเพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมอยู่ด้วย

ส่วนการขอให้ตั้งจเรตำรวจพิจารณาเอาผิดทางวินัย ยืนยันว่าไม่ใช่การช่วยเหลือกันให้พ้นผิด เพราะจเรตำรวจเป็นหน่วยงานกลางในการพิจารณา และในการพิจารณาความผิดทางวินัยจะพัวพันไปถึงความผิดอาญา เช่น ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เช่นเดียวกับที่เคยพิจารณาโทษพนักงานสอบสวนชุดแรก 11 นาย ซึ่งได้ตั้งเรื่องเสนอให้ ป.ป.ช. พิจารณาเอาผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มาแล้ว และยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องรอให้ ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. สั่งเอาผิด เพราะตำรวจได้สั่งดำเนินการไปก่อนแล้ว และหากพบว่าตำรวจรายใด เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน ก็จะเสนอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกคำสั่งให้มีการช่วยราชการไว้ก่อน และยังระบุว่า การพิจารณาความผิดใคร ไม่สามารถดำเนินการตามใจกระแสสังคมได้ แต่ยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไม่ช่วยเหลือหรือปกป้องตำรวจที่กระทำผิดอย่างเด็ดขาด

ส่วนเรื่องที่มีข้อมูลว่ามี อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แก้ไขข้อมูลเรื่องเวลาการเดินทาง และข้อเท็จจริงเรื่องที่อยู่ในขณะนั้น ในรายงานของนายวิชา ไม่ได้ระบุชื่อชัดเจน ว่าตำรวจระดับสูงเป็นใคร ก็ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยชุดคณะกรรมการสอบสวนวินัย ส่วนชุดตรวจสอบข้อเท็จจริงของตนนั้น สอบสวนได้เพียงพันตำรวจเอกธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เพราะยังปฏิบัติราชการอยู่ ซึ่งผลการตรวจสอบในชุดของตน ยืนยันว่ามีอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ สุดท้ายแล้ว จเรตำรวจต้องพิจารณาชั่งน้ำหนักเองว่า จะเชื่อคำให้การดังกล่าว หรือเชื่อพยานหลักฐานของอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ส่วนการตามตัวนายวรยุทธ กลับมาดำเนินคดีในไทย ต้องรอให้อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องก่อน จึงจะดำเนินการตามขั้นตอนขอหมายแดงจากองค์กรตำรวจสากล เพื่อประกาศหาตัวตามถิ่นที่อยู่ใน 150 ประเทศ เพื่อให้ส่งข้อมูลกลับมาให้ไทย ประสานขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป ที่ผ่านมาตำรวจยังคงติดตามความเคลื่อนไหวของนายวรยุทธอยู่ตลอด เพียงแต่ไม่สามารถเปิดเผยประเทศปลายทางได้ว่า ขณะนี้อาศัยอยู่ที่ใดและไม่ชี้ชัดไม่ได้ว่าปัจจุบัน นายวรยุทธ ถือหนังสือเดินทางของชาติใดอยู่

ส่วนเรื่องที่มีความเห็นว่า ตำรวจควรแจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล ชี้แจงว่า การจะแจ้งข้อหาใดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับผลสอบสวนพยานหลักฐาน ส่วนที่จำเป็นต้องแจ้งข้อหา ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ เป็นไปตามหลักการดำเนินคดีตามกระบวนการของพนักงานสอบสวน ซึ่งคู่กรณีในความผิดกฎหมายจราจร จะต้องถูกตั้งข้อหาทั้งสองฝ่าย เนื่องจาก จะมีผลที่ทำให้ผู้เสียชีวิตได้ประโยชน์จากการสอบสวน และเยียวยาในภายหลัง

สำหรับความเห็นเรื่องการกันตัว พันตำรวจเอกธนสิทธิ์ ไว้เป็นพยาน เรื่องนี้ไม่สามารถดำเนินการได้ทันที เพราะการจะกันตัวใครไว้เป็นพยานหรือไม่นั้น ต้องรอให้มีการสอบสวนดำเนินคดีอาญาเกิดขึ้นก่อน ส่วนสถานะของ พันตำรวจเอกธนสิทธิ์ ขณะนี้ ยังอยู่ในฐานะของผู้ที่ถูกพาดพิงเท่านั้น