เคาะแล้ว แจก 3,000 บาท! ศบศ.อัดงบ 6.8 หมื่นล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ

เคาะแล้ว แจก 3,000 บาท! ศบศ.อัดงบ 6.8 หมื่นล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ

ศบศ.อัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 6.8 หมื่นล้าน "แจกเงิน" คนละ 3,000 บาท รวม 15 ล้านคน จับจ่ายใช้สอย ลดค่าครองชีพ สั่งคลังเร่งสรุปภายใน 2 สัปดาห์ พร้อม จ้างงานบัณฑิตจบใหม่ 2.6 แสนตำแหน่ง

นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสภาพัฒนทหารเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ จากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019  หรือ “ศบศ.”ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ศบศ.เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2 มาตรการหลัก ได้แก่

1.มาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศวงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน ส่งเสริมการบริโภค และช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไป ที่ครอบคลุมไปถึงผู้ประกอบการหาบเร่แผงลอยโดยรัฐบาลจะช่วยค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 ในวงเงินไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน ประมาณ 15 ล้านคน

รวมถึงและกลุ่มร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการจะมุ่งเน้นไปที่ร้านค้ารายย่อยทั่วไปครอบคลุมไปถึง ผู้ประกอบการหาบเร่ แผงลอย ประมาณ 80,000 ร้านค้า ผ่านกลไกการดำเนินงานผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ของรัฐบาล ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการคลังจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อนำเสนอต่อ ศบศ.ต่อไปภายใน2 สัปดาห์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : เดินหน้า! ลุ้นแจกเงิน 15 ล้านคน ช้อป 80,000 ร้านค้า กระตุ้นเศรษฐกิจ

2.มาตราการการจ้างงานสำหรับเด็กจบใหม่โดยรัฐบาลสมทบจ่ายกับนายจ้าง เป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่ เดือน ต.ค. 2563 - ต.ค.2564 วัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้จบการศึกษาใหม่ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ ระดับปริญญาตรี ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) รวมจำนวน 260,000 อัตรา วงเงินรวม 2.3 หมื่นล้านบาท

โดยมีอัตราค่าจ้าง ตามวุฒิการศึกษาดังนี้ ปริญญาตรี เดือนละ 15,000 บาท ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง (ปวส.) เดือนละ 11,500 บาท และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เดือนละ 9,400 บาท ซึ่งรัฐบาลจะให้การ สนับสนุนเงินค่าจ้าง ร้อยละ 50 ของเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาทต่อคนต่อเดือน

ทั้งนี้ อยู่ภายใต้ เงื่อนไขสำคัญ คือ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องอยู่ในระบบประกันสังคม มีการยืนยันตัวตนผ่าน กระทรวงแรงงาน และต้องมีเงื่อนไขเลิกจ้างลูกจ้างเดิมไม่เกินกว่าร้อยละ 15 ภายในระยะเวลา 1 ปี (กรณีที่ลูกจ้าง ลาออกในระหว่างโครงการ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการสามารถหาลูกจ้างใหม่ทดแทนได้) ขณะที่ ลูกจ้างท่ีจะเข้าร่วมโครงการจาเป็นต้องมีคุณสมบัติดังนี้ (1) มีสัญชาติไทย และ (2) อายุไม่เกิน 25 ปี หรืออายุเกิน กว่า 25 ปี ซึ่งสาเร็จการศึกษาในปี 2562 หรือปี 2563