'มาดามเดียร์' หนุนรัฐบาลชะลอซื้อ 'เรือดำน้ำ'

'มาดามเดียร์' หนุนรัฐบาลชะลอซื้อ 'เรือดำน้ำ'

“มาดามเดียร์” โพสต์หนุนรัฐบาลชะลอซื้อ “เรือดำน้ำ” เพื่อนำงบไปใช้ดูแลและแก้ปัญหาปากท้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 

เมื่อวันที่ 31 ส.ค.63  น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี  “มาดามเดียร์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เพซบุ๊ก เดียร์ วทันยา วงษ์โอภาสี ระบุว่า

หลายๆ คนคงทราบข่าวกันไปแล้ว กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งให้ชะลอการชำระเงินจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” จากประเทศจีนในลำที่ 2-3 ออกไปก่อนอีก 1 ปี เพื่อนำงบประมาณของปี 2564 จำนวน 3,925 ล้าน กลับมาใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆ ตามความจำเป็นมากกว่า โดยเฉพาะใช้ดูแลและแก้ปัญหาปากท้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

การตัดสินใจชะลอการชำระเงินของรัฐบาลแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของรัฐบาลและกองทัพเรือ ที่ยึดโยงรับฟังเสียงของประชาชน ซึ่งก่อนหน้านี้ทางกองทัพเรือเอง ก็เคยเจรจากับจีนเพื่อขอเลื่อนจ่ายเงินในงวดปี 2563 มาแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อนำเงินจำนวน 3,375 ล้านบาท กลับมาสนองนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการนำเงินมาช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดรุนแรง

อย่างไรก็ตาม การชะลอการชำระเงินจัดซื้อ "เรือดำน้ำ" ลำที่ 2-3 ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่กองทัพเรือต้องกลับไปเจรจากับทางการจีน เพื่อบรรเทาความกังวลของประชาชนในการใช้งบประมาณภายใต้วิกฤติการณ์โควิด-19 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าสถานการณ์โควิด-19 ของประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เช่น อินเดีย พม่า ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ ยังมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนว่ายังไม่มีทีท่าจะเอาอยู่ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ด้านต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจึงยังคงต้องระวังในการเตรียมความพร้อมรับมือหากการแพร่ระบาดโควิด-19 กลับมาในระลอกสอง

เดียร์เองนอกจากจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือส.ส. ที่กินเงินเดือนภาษีของประชาชนแล้ว อีกหนึ่งบทบาทคือการทำหน้าที่ในฐานะ กรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่ต้องพิจารณาการใช้งบประมาณภาษีของประชาชนให้เกิดความคุ้มค่า ก็มีความเห็นไปในทางเดียวกับประชาชนคนอื่นทั่วไป โดยมองว่าเรื่องปากท้องและความปลอดภัยของประชาชนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด

จริงอยู่แม้ความผูกพันทางเอกสารในส่วนของการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 จากประเทศจีน จะไม่มีผลใดๆ ต่อความเสียหายของประเทศไทยในทางตรง ซึ่งสิ่งที่เรากำลังถกเถียงในวันนี้คือการจัดซื้อเรือดำน้ำ แต่ในอีกด้านหนึ่งที่คงต้องหยิบยกไว้เป็นประเด็นให้คำนึงถึง คือ “วันนี้ประเทศไทยเข้าไปมีข้อตกลงผูกพันกับจีน” เราจำเป็นต้องรักษาความน่าเชื่อถือ เกียรติภูมิของประเทศ อีกทั้งเรากับจีนก็มีความผูกพันกันในแทบทุกมิติไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมประเพณี มีชายแดนที่ติดต่อกันและมีประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกันมา ดังนั้น การตัดสินใจดังกล่าวจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องนำองค์ประกอบมาพิจารณาให้ครบด้าน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่วันนี้สถานการณ์โลกภายใต้สงครามทางการค้าของจีนและสหรัฐ การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เราเองยังต้องการพึ่งพาประเทศจีน เช่น เป็นที่ทราบกันดีว่านักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาบ้านเราสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง เฉลี่ย 10 ล้านคนต่อปี หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาทั้งหมด 40 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้ให้ประเทศไทย 6 แสนล้านบาทในปี 2562

ขณะเดียวกันการส่งออกของประเทศไทยไปยังจีนที่ในแต่ละปีเราสร้างรายได้จากการส่งออกเฉลี่ยปีละ 30,000 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 1 ล้านล้านบาท นั่นยังไม่รวมถึงนักลงทุนจากประเทศจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศอีกนับไม่ถ้วนโครงการ

สุดท้ายวันนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณ 2564 ทุกคนมีมติเอกฉันท์ให้งบประมาณการจัดซื้อเรือดำน้ำจำนวน 3,925 ล้านบาท ตกไปเพื่อนำเงินดังกล่าวไปใช้ในกิจการอื่น ในส่วนของขั้นตอนตาม พรบ.งบประมาณหลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับหน่วยงานซึ่งก็คือกองทัพเรือ จะเป็นผู้พิจารณานำเสนอในแผนงบประมาณอีกครั้ง ซึ่งแผนดังกล่าวจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาของกองทัพเรือกับจีนค่ะ