ขึ้นซื้อน้อยหน่อย ลงซื้อมากหน่อย

ขึ้นซื้อน้อยหน่อย ลงซื้อมากหน่อย

แนวโน้มบวกจากเฟดเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินครั้งสำคัญ

โดยเปลี่ยนแปลงการดำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อเป็น “เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย” ซึ่งทำให้การบริหารเงินเฟ้อมีความยืดหยุ่น และยอมให้เงินเฟ้อสามารถเกินเป้าหมายในช่วงเวลาหนึ่ง แทนที่จะกำหนดเป้าหมายตายตัว หรือกล่าวให้ง่าย คือ เฟดไม่จำเป็นต้องรีบปรับขึ้นดอกเบี้ย หากประเมินแล้วเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นเกินเป้าหมายอาจเป็นเพียงระยะสั้น

แต่ในระยะสั้นอาจทำให้มีแรงทำกำไรและผันผวน นโยบายเงินเฟ้อใหม่ส่งผลบวกให้เฟดสามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายได้ยาวนานมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจฟื้นจริง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกระยะกลาสงถึงยาวต่อการลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นอาจต้องระวังความผันผวนและแรงทำกำไร เนื่องจาก 1) การยอมให้อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรขยับตัวสูงขึ้น (ล่าสุด 0.785% สูงสุดในรอบ 2 เดือน จากต่ำสุดที่ 0.508%) ส่งผลให้ความน่าสนใจของการลงทุนในหุ้น (Earnings Yield Gap) ของหุ้นปรับตัวลดลง 2) ค่าเงินสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นทางเทคนิคในระยะสั้น จากการซื้อคืน (short covering) เงินเหรียญหสรัฐฯ ซึ่งค่าเงินที่แข็งค่าอาจกดดันภาพรวมตลาดอีกทาง โดยเรามีความเห็นผลกระทบโดยรวมต่อกลุ่มหุ้นต่างๆดังนี้

(+) ธนาคารและประกัน เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรที่ขยับขึ้น และทำให้หุ้นมีโอกาสตอยรับเชิงบวก อย่างไรก็ตามธนาคารคาดเป็นเพียงการฟื้นตัวในขาลง ขณะที่กลุ่มประกัน ผลตอบแทนการลงทุน รวมถึงกำไรจากการรับรู้ดอกเบี้ยของตราสารที่เข้าลงทุนใหม่จะสูงขึ้น โดยเราชอบหุ้นประกันภัย (TIP, THRE) มากกว่าประกันชีวิต (BLA)

(+) พลังงานและปิโตรเคมี เงินเฟ้อที่สูงขึ้นทำให้เงินบางส่วนจะไหลเข้าเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ และราคาน้ำมันดิบได้ อย่างไรก็ตามการแข็งค่าของค่าเงินเหรียญ สหรัฐฯ ทำให้กลุ่มสินค้าโภคภัณฑืจะไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่เป็นขาขึ้นแบบชัดเจน เรามองแค่เก็งกำไร

(-) โรงไฟฟ้า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น ทำให้อัตราคิดลด (discounted rate) สูงขึ้น เป็นปัจจัยลบต่อการประเมินมูลค่าหุ้นไฟฟ้า และกลุ่มหุ้นที่ซื้อขายด้วย Valuation แพง

(0) สื่อสาร/กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/กองรีทส์ ในระยะสั้นอาจเคลื่อนไหวเป็นลบจากผลตอบแทนพันธับตรที่ขยับขึ้น แต่หุ้นในกลุ่มนี้มีผลตอบแทนปันผลที่สูงและเหนือกว่าพันธบัตรในท้องตลาดมาก การปรับลงจึงเป็นโอกาสซื้อ หรือสะสมหุ้นในกลุ่มนี้

หุ้นที่เราชอบ ได้แก่ CPF, TU, TIP, THRE, ADVANC, INTUCH, DIF, JASIF, SUPEREIF, BTSGIF, BCH, CHG, WHAUP, EASTW / หุ้นที่มีปัจจัยบวก 1) เข้าคำนวณในดัชนี FTSE Thailand อาทิ CRC 2) กำไรเติบโตโดดเด่น CKP, TASCO

ภาพรวมกลยุทธ์ การลงทุนระยะกลางยังคงเป็นบวก การเก็งกำไรยังควรระวังความผันผวนระยะสั้นจากทิศทางค่าเงินสหรัฐฯ และผลตอบแทนพันธบัตรที่มีโอกาสปรับขึ้น ทั้งนี้ธนาคารและประกันมีโอกาสถูกเก็งกำไรใน  // หุ้นแนะนำวันนี้ เก็งกำไร TIP*, CRC*, CPF, TU

แนวรับ 1,296-1,306 จุด / แนวต้าน : 1,327-1,355 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%

ประเด็นการลงทุน

US GDP 2Q63 ทรุดหนักสุดในรอบ 70 ปี หดตัว -31.7% ดีกว่าตัวเลขประมาณการครั้งแรกที่ -34.7% แต่ยังตงเป็นการหดตัวที่หนักสุดในรอบ 70 ปี

กำไรภาคอุตสาหกรรมจีนโต 19.6% –หลังรัฐบาลใช้มาตรการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ

SUSCO – อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนด้วยวงเงิน 180 ลบ. ไม่เกิน 55 ล้านหุ้น หรือ 5% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ในช่วง 14 ก.ย.63 – 12 มี.ค.64

การบิน ผู้บริหารจาก 7 สายการบินเข้าพบนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชงแก้ปัญหาขาดสภาพคล่อง-ซอฟต์โลน

VGI – ราคาเหมาะสมทางพื้นฐาน 7 บาท แต่หากประเมิน Kerry ที่ PER 80 เท่ามูลค่าเหมาะสม sum of the part แม้อาจเพิ่มเป็น 7.90 บาท แต่การปรับขึ้นต่อควรลดน้ำหนัก

ประเด็นติดตาม: 1 ก.ย. – US PMI เดือน ส.ค. / TH CPI เดือน ส.ค.,  3 ก.ย. – FED Beige Book

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)