‘กัลฟ์’ ลั่นเพิ่มทุนเสริมแกร่ง จ่อซื้อโรงไฟฟ้า ‘ยุโรป-สหรัฐ’
“กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์” มั่นใจการเพิ่มทุนช่วยหนุนฐานะการเงินแข็งแรง-เพิ่มศักยภาพการลงทุนของบริษัทเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1.1 แสนล้านบาท แย้มกำลังเจรจาซื้อกิจการโรงไฟฟ้าเพิ่ม เป้าหมายในยุโรป-สหรัฐ-อังกฤษ พร้อมคาดรายได้ปีหน้าโตกระโดดกว่า 50%
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยภายในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติการเพิ่มทุนว่า การเพิ่มทุนของบริษัทในครั้งนี้คาดว่าจะได้เงินเข้ามาประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทแข็งแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่ต้องลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก โดยคาดว่าการเพิ่มฐานทุนในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทมีศักยภาพด้านการลงทุนเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1.1 แสนล้านบาท ภายในช่วงระยะเวลา 4-5 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้เงินที่ได้จากการเพิ่มทุนนั้น บริษัทจะนำไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างตามแผนของบริษัท อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง ขนาดกำลังการผลิตรวม 1,400 เมกะวัตต์ (MW),โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ขนาดกำลังการผลิต 540 MW เป็นต้น และใช้ในการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่ๆของบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนในการซื้อกิจการ (M&A) โครงการโรงฟ้าในต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายทั้งประเทศในยุโรป,สหรัฐฯ และอังกฤษ เป็นต้น
ปัจจุบันโครงการลงทุนของบริษัทแบ่งออกเป็น 2-3 ลักษณะ ซึ่งในส่วนของแผนการลงทุนระยะสั้นหรือการลงทุนในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านั้น บริษัทมีแผนจะเข้าลงทุนหรือซื้อกิจการโครงการโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์แล้ว (COD) เป็นหลัก เนื่องจากเชื่อว่าให้ผลตอบแทนได้เร็วที่สุด
โดยที่ผ่านมาบริษัทก็ได้เข้าไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเยอรมนี มีสัดส่วนการถือหุ้นราว 50% ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนประมาณ 1,200-1,500 ล้านบาทต่อปี ประกอบกับคาดว่าการรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวจะเข้ามาช่วยเติมเต็มก่อนโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ของบริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างจะเริ่มทยอยแล้วเสร็จในปี 2565
ส่วนผลจากการเพิ่มทุนแม้จะทำให้อัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทลดต่ำลงไปบ้าง แต่เชื่อว่าแนวโน้ม EPS ของบริษัทยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะการรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการใหม่ๆที่ทยอยเข้ามา ส่วนเป้าหมายกำลังการผลิตของบริษัทก็ยังเดินตามแผนซึ่งคาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นในระดับ 10,000 MW ภายในปี 2565
“จากตรงนี้ไปจนถึงปี65 จะเห็นโครงการที่เพิ่มรายได้เข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่การลงทุนซื้อโรงไฟฟ้าของบริษัทยังไม่ได้หยุด ซึ่งยอมรับว่าปัจจุบันมีบริษัทมาเสนอขายมากพอสมควร ซึ่งบริษัทก็กำลังพิจารณาอยู่”
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF กล่าวว่าหลังการเพิ่มทุนจะส่งผลให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.7-1.8 เท่า จากก่อนหน้านี้ที่ D/E ปรับตัวสูงขึ้นจากการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Borkum Riffgrund 2 ในประเทศเยอรมนี
ขณะที่ในส่วนของค่าพีอี (P/E) ของบริษัทที่หลายคนมองว่าค่อนข้างสูงนั้น เชื่อว่าค่าพีอีของบริษัทจะทยอยปรับตัวลดลงตามกำไรของบริษัทที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในช่วงปี 2564 คาดว่ารายได้จะกระโดดขึ้นไปเติบโตกว่า 50% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากจะมีรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเยอรมนีเข้ามาและโรงไฟฟ้า GSRC ขนาดกำลังการผลิต 2,500 MW ขณะที่ภายในปี 2565-2568 จะมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทยอยเปิดดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ P/E ของบริษัทลดลงค่อนข้างมาก
“คาดว่าจะเริ่มเห็นผลการดำเนินงานที่ชัดเจนตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป โดยคาดว่ารายได้จะโตแบบก้าวกระโดดกว่า 50% จากปีนี้ที่คาดจะเติบโตราว 15% จากปีก่อนที่ทำได้ 34,552 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเยอรมนีเข้ามาและโรงไฟฟ้า GSRC ขนาดกำลังการผลิต 2,500 MW ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบได้”