อเมริกา : ใครแพ้ใครชนะ จังหวะลงทุนและเลี่ยง

อเมริกา : ใครแพ้ใครชนะ จังหวะลงทุนและเลี่ยง

จับตาดูเดือนตุลาคม 2563 ที่จะถึงนี้ จะมีเหตุการณ์อะไรที่เป็นสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือไม่ ก่อนที่จะมี "การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ" ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะส่งผลต่อตลาดหุ้นและการลงทุนของสหรัฐอย่างมาก

ตลาดหุ้นอเมริกา วันพฤหัสที่ 20 สิงหาคม 2563 ดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ทั้งสามตลาด คือ S&P 500 (SPX) ปิดที่ 3,385 NASDAQ 11,264 และ ดัชนี Dow Jones (DJIA) ปิดที่ 27,739

สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการลงทุนมุ่งไปที่ “ผู้ชนะ” หมายถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านดิจิทัลเทคโนโลยีซึ่งผลิตสินค้าและให้บริการแบบความจำเป็นใหม่ในชีวิต ซึ่งไม่ใช่ปัจจัยสี่ ตัวอย่างคือ มูลค่าหุ้นทำลายสถิติหุ้น แอปเปิล (AAPL) มีมูลค่าตลาด 1.98 ล้านล้านเหรียญ อเมซอน (AMZN) 1.65 ล้านล้าน และ ไมโครซอฟท์ (MSFT) 1.59 ล้านล้านเหรียญและเทสล่า (Tesla) 0.373 ล้านล้านเหรียญ (ซึ่งวันนี้แซงมูลค่าหุ้นของ Walmart 0.369 ล้านล้านเหรียญ) ฯลฯ บริษัทเหล่านี้กลายเป็น “ผู้ได้รับรางวัล” จากนักลงทุนยุคใหม่ ที่มองข้ามรายงานและบัญชีของรายรับรายจ่ายปัจจุบัน แต่กลับไปฝากความคาดหวังไว้กับอนาคตอีก 1-2 ปีข้างหน้า ปริมาณการซื้อขายหุ้นจำนวนมากก็เป็นการซื้อมาขายไปเก็งกำไรระยะสั้น หุ้นยอดนิยมเหล่านี้จึงมีผลพลอยได้

ส่วนบริษัทที่หุ้นยังไม่ฟื้นและกำลังเป็น “ผู้แพ้” ในยุคนี้ คือกลุ่มธุรกิจพื้นฐานดั้งเดิม ซึ่งเป็นหลักของเศรษฐกิจมาโดยตลอด ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมปัจจัยสี่ อุปโภคบริโภคต่างๆ การขายปลีก การธนาคาร สายการบิน โรงแรมและการท่องเที่ยว ฯลฯ มูลค่าหุ้นลดลงในหนึ่งปีเช่น Boeing -49%, Wells Fargo Bank -47%, Kohl’s Department Stores -58% Hilton Hotels -9% เป็นต้น

ที่น่าสนใจคือ บริษัทเศรษฐกิจใหม่ (หรือผู้ชนะในปัจจุบัน) กำลังเจรจาสร้างพันธมิตรกับบริษัทเศรษฐกิจเก่า (หรือผู้แพ้) ซึ่งทั้งสองฝ่ายหากประสานงานกันได้ดีจะเพิ่มความเข้มแข็งและผู้บริโภคจะได้ประโยชน์สูง 

ประชาชนอเมริกันหลายล้านคนยังรอรับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งสภายังตกลงกันไม่ได้ จึงทำให้การใช้เงินประหยัดลงอย่างมาก เนื่องจากความไม่มั่นใจกับอนาคต สัปดาห์ที่ผ่านมามีการแจ้งการตกงานกว่าล้านคน ผู้อยู่ในสถานะเศรษฐกิจหาเช้ากินค่ำมีความลำบากมาก ส่วนผู้ที่สามารถจะปรับตัวได้และทำงานที่บ้านโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ ก็ยังพอประคับประคองตนเองได้ 

มีประชาชนบางกลุ่มไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตครั้งนี้มาก แถมเป็นโอกาสได้ปรับปรุงแนวทางของชีวิตและเสริมเศรษฐกิจของครอบครัว การลงทุนในตลาดหุ้นของประชาชนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีเวลาและเสริมด้วยความรวดเร็วของเทคโนโลยีในการซื้อขายหุ้นโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง การบริโภคข่าวสารฉับไวทำให้การตัดสินใจเร็ว การซื้อขายมีปริมาณยอดเงินสูงมากต่อวัน 

สถานการณ์โรคติดต่อ COVID-19 ยังน่าเป็นห่วงทั่วสหรัฐอเมริกา จำนวนผู้เสียชีวิตรวมถึงปัจจุบันประมาณ 175,000 คน และอัตราการติดเชื้อต่อวันเกินกว่า 20,000 คน มหาวิทยาลัยหลายแห่งตัดสินใจเปิดเพียงแค่ออนไลน์เท่านั้น แต่มีหลายสถาบันซึ่งอยู่ในเขตชุมชนที่มีอุดมการณ์อนุรักษนิยมพยายามลองเปิดภาคเรียน โดยให้เรียนในห้องและอยู่ในหอพักตามปกติ แต่ก็จำเป็นต้องประกาศปิดด่วนเนื่องจากมีการติดเชื้อ

มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนอร์ธแคโรไลนา-Chapel Hill ตรวจพบการติดเชื้อกว่า 300 คน และเพิ่มต่อวันอีก 135 คน NC State University หลังจากเปิดวันที่ 10 สิงหาคม ก็ต้องเปลี่ยนเป็นออนไลน์วันที่ 17 สิงหาคม เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นทั่วประเทศรวมถึงระดับประถมและมัธยมด้วย

ข่าวความคืบหน้าและอุปสรรคในการค้นคว้าผลิตและจำหน่ายวัคซีนทำให้เกิดความกังวลระหว่างการรอคอย กระทบกระเทือนกับการวางแผนชีวิตและเศรษฐกิจทั้งในระดับส่วนตัวและส่วนรวม หลายคน (โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว) เกิดความเบื่อหน่ายในการรอคอย และด้วยความประมาทไม่ระมัดระวังเรื่องการป้องกันด้านสาธารณสุข จึงมีพฤติกรรมของการออกไปนอกบ้านสังสรรค์และทำกิจกรรมซึ่งทำให้เชื้อแพร่ต่อไปอีก

การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมาถึงภายในอีกประมาณ 73 วัน พรรคเดโมแครตจัดประชุมใหญ่ 17-20 สิงหาคม และได้คัดเลือกผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งคะแนนเสียงจากการสำรวจล่าสุด Joe Biden มีคะแนนนำฝ่ายรีพับลิกัน Donald Trump ประมาณ 9%

ประธานาธิบดีทรัมป์จะนำการประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันเริ่ม 24 สิงหาคม การประกาศนโยบายเพื่อเรียกร้องความมั่นใจและคะแนนเสียงให้รักษาตำแหน่ง มาตรการช่วยเหลือฉุกเฉินต่างๆ ซึ่งจะเป็นการพยุงเศรษฐกิจชั่วคราวจนถึงวันเลือกตั้ง ก็จะถูกนำออกมาใช้ คาดว่าการเงินจะออกมาสะพัดอีกโดยการใช้กระบวนการอัดฉีดของธนาคารกลาง

กลยุทธ์ในการปะทะเรื่องเศรษฐกิจการค้ากับจีนก็เป็นชั้นเชิงทางการเมือง การเจรจาการค้าที่กำหนดไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วถูกประกาศยกเลิกไปโดยทำเนียบขาว แต่จีนแถลงว่าจะมีการกลับมาเจรจาอีกภายในสัปดาห์หน้า จีนสั่งซื้อสินค้าทางเกษตรเป็นจำนวนมากจากอเมริกาในระยะนี้เพื่อเป็นการส่งสัญญาณไมตรี รัฐบาลอเมริกันเพิ่มความกดดัน โดยใช้วิธีการปิดกั้นและเพิ่มกฎเข้มงวดกับบริษัทเทคโนโลยีที่ถือว่าเป็นดาวรุ่งของจีน (Tik Tok, WeChat) และลามไปถึงทุกบริษัทที่มีต้นกำเนิดจากจีน แต่มาระดมทุนโดยการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา BABA, JD, PDD, TCEHY ฯลฯ

ยุทธวิธีการหาเสียงหรือหาข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจกระทบกับการตัดสินใจเรื่องการซื้อขายหุ้น โดยเห็นได้ชัดจากราคาหุ้นของบริษัทที่ค้าขายโดยตรงระหว่างจีนกับอเมริกาที่ขึ้นลงมากเพราะข่าวดีและร้ายประจำวัน

น่าจับตาดูว่าเดือนตุลาคมว่าจะมีเหตุการณ์อะไรที่เป็นสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือไม่ หากคะแนนเสียงของทำเนียบขาวยังตามห่างอยู่ มีการเตรียมตัวของหลายฝ่ายว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจจะมีการประท้วงและฟ้องร้อง หากผลการเลือกตั้งออกมาโดยคะแนนเสียงไม่ต่างกันมาก ซึ่งจะทำให้ทั้งเดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนแห่งความโกลาหลวุ่นวาย

ตลาดหุ้นของอเมริกาหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุกครั้งไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะชนะก็มักจะขึ้น 7-9% นับจากวันเลือกตั้งจนถึงสิ้นปี ท่านผู้อ่านที่ลงทุนกับบริษัทต่างๆในตลาดหุ้นของอเมริกากรุณาเพิ่มความระมัดระวังในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนนี้ ควรกระจายความเสี่ยงและถือเงินสดไว้บ้าง โอกาสในการลงทุนจากวันนี้จนถึงปลายเดือนกันยายนมีแนวว่าแจ่มใส ระมัดระวังช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน และโอกาสดีอีกครั้งอาจจะกลับมาในเดือนธันวาคมครับ