‘เคแบงก์’ เปิดกองทุนใหม่ ลุยธุรกิจเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

‘เคแบงก์’ เปิดกองทุนใหม่  ลุยธุรกิจเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

เศรษฐกิจในปัจจุบัน มักถูกขับเคลื่อน ด้วยการเน้นการเติบโต ทั้งการผลิต การบริโภค ที่มาพร้อมกับการใช้ทรัพยากรอย่างมหาศาลซึ่งเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดความไม่ยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจ และสร้างร่องรอยความเสียหายไว้อย่างต่อเนื่อง

ส่งผลเสียต่อสภาวะแวดล้อมและสังคมอย่างมาก และด้วยการทำธุรกิจแบบเดิมๆ รวมไปถึง การบริโภค การใช้สินค้าแบบเดิมๆที่ไม่ตระหนักถึงผลกระทบด้านสังคม สิ่งแวดล้อม จะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อยออกมา จนนำไปสู่ภาวะโลกร้อนอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้

“จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์” Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า หากสังคมไม่ตระหนักด้านการรักษาและดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคตมากขึ้น จนทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออไซด์ถูกปล่อยออกมาในอัตราเดิมเรื่อยๆ อุณภูมิโลก จะเพิ่มขึ้นถึง 5-6องศา ในปี 2643 ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจโลกมหาศาลถึง 550 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมในปี 2562 ถึง 7 เท่า!

แต่ข่าวดีที่วันนี้ ทั่วโลกเริ่มมีการตระหนักรู้ และให้ความสนใจด้านความยั่งยืน และคำนึงถึง ผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจวันนี้กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ Circular หรือ CLIC economy ที่หนุนการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า และหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น 

เป็นสาเหตุให้หลายประเทศทั่วโลกมีเป้าหมายร่วมกันในการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ถึง 50% ภายในปี 2573 ซึ่งจะทำให้เห็นเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องสูงถึง 5.5ล้านล้านดอลลาร์ ต่อปี ในอีก 10ปีข้างหน้า

ดังนั้นเทรนด์ความยั่งยืนถือเป็นโอกาสสำคัญ ของนักลงทุนในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว เช่นการหันไปลงทุนที่เกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Transition มากขึ้น เคแบงก์ไพเวทแบงกิ้ง จึงมีการเสนอขายกองทุน เพื่อตอกย้ำการสร้างความยั่งยืน ภายใต้ชื่อ K Climate Transition ซึ่งเป็นกองทุนที่คำนึงถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกองทุนแรก และหนึ่งเดียวในไทย ที่มุ่งเน้นลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยกองทุนจะเปิด IPO ครั้งแรก วันที่1-15 ก.ย.นี้

การลงทุนเพื่อหนุนความยั่งยืน ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เคแบงก์ไพเวทแบงกิ้งให้ความสนใจ ที่ผ่านมามีการออกกอง K-HIT และ K- CHANGE  มาแล้ว ช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนสูงถึง 40% ดังนั้นเชื่อว่ากระแสโลกที่กำลังให้ความสำคัญเรื่องนี้ จะหนุนให้เห็นการลงทุนในกองทุนลักษณะต่อเนื่องในอนาคต

“อนาคตเราเชื่อว่าคนจะให้ความตระหนัก สำนึกมากขึ้นในการเลือกใช้ เลือกซื้อมากขึ้น เคแบงก์ไพเวทแบงกิ้ง ร่วมกับลอมบาท เราตั้งปณิธานว่า จะเป็นผู้นำในอิสเวสเม้นท์ในการสร้างจิตสำนึก และหนุนลูกค้าเรา ซึ่งเช่ื่อว่า จะเป็นพลังมหาศาลที่จะใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไปสู่ CLIC economy ผ่านการขับเคลื่อนด้วยรีซอร์สมหาศาลจากลูกค้าเราที่มีส่วนช่วยโลกได้”

สำหรับภาพรวมการลงทุนในธุรกิจไพเวทแบงกิ้งของธนาคาร ปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การลงทุนทรงตัวที่ระดับ 7.5 แสนล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี AUM น่าจะทรงตัวอยู่ในระดับนี้ต่อไป แต่หากดูด้านผลตอบแทนการลงทุน ภายใต้ความผันผวนจากวิกฤตไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่ หรืโควิด-19 ถือว่าทำได้ในระดับที่ดีราว 3-4%ต่อปีได้ต่อเนื่อง

การจัดพอร์ตลงทุนภายใต้ความผันผวนสูง แนะนำจัดพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง โดยเน้นการลงทุนในกองทุนผสมเป็นหลัก และแนะนำไม่ควรถือทองคำเกิน 5% เพราะราคาทองผันผวนสูง

ขณะเดียวกันธนาคารอยู่ระหว่างการปรับพอร์ตไพเวทแบงกิ้งเช่นเดียวกัน โดย ภายใต้ AUM ที่ 7.5 แสนล้านบาท มีเงินฝากอยู่ในระดับสูงถึง 35% ซึ่งมองว่าควรผลักดันเงินฝากเหล่านี้ ออกไปลงทุนเพื่อหาผลตอบได้เพิ่ม ดังนั้นพอร์ตเงินฝากที่เหมาะสมในพอร์ตควรอยู่ที่ระดับ 20-25% แปลว่า ธนาคารต้องมีภาระในการแปรเงินฝากอีก 15% ไปเป็นการลงทุนให้มากขึ้นหลังจากนี้ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนไพเวทแบงกิ้งได้ต่อเนื่อง