“บริทาเนีย”ผุดมัลติแบรนด์ ชิงดีมานด์แนวราบทุกเซกเมนต์

“บริทาเนีย”ผุดมัลติแบรนด์  ชิงดีมานด์แนวราบทุกเซกเมนต์

วิกฤติโควิดทำให้ตลาดแนวราบกลายเป็น“พระเอก” เพราะตอบโจทย์วิถีการใช้ชีวิตที่ต้องการรักษาระยะห่างบริทาเนีย จึงต้องปรับแผนให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปผุด 3แบรนด์ใหม่ครอบคลุมลูกค้าแนวราบทุกเซกเมนต์

จากแนวโน้มตลาดแนวราบที่เติบโตต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 โดยภาพรวมมียอดขายอยู่ที่ 46,140 ยูนิต ปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 49,566 ยูนิต แม้ว่าในปี 2562 จะลดลงเหลือ 41,190 ยูนิต แต่ในปีนี้ภาพรวมตลาดแนวราบกลายเป็น “ขุมทรัพย์” ที่สร้างรายได้ให้กับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด เพราะเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคโควิด-19 สอดคล้องกับภาพตลาดอสังหาฯ ที่เปลี่ยนไปสังเกตได้จากสัดส่วนมูลค่ายอดโอนกรรมสิทธิ์แนวราบในปี2562 เพิ่มขึ้น 0.03% ขณะที่มูลค่ายอดโอนกรรมสิทธิ์แนวสูง (คอนโดมิเนียม) ลดลง6.5%

ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด ผู้พัฒนาโครงการแนวราบบริษัทในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ย้ำว่า ปีนี้ถือเป็น ‘ยุคทอง’ ของตลาดแนวราบ หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมาตลาดแนวราบเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าจะแผ่วลงในปี2562 เนื่องจากเกิดสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (แอลทีวี) อย่างไรก็ตามตลาดแนวราบก็ยังคงเติบโตสวนทางกับตลาดคอนโดที่ชะลอตัวอย่างแรง

ขณะที่ในปีนี้วิกฤติโควิดทำให้ตลาดแนวราบกลายเป็น“พระเอก” เพราะตอบโจทย์วิถีการใช้ชีวิตที่ต้องการรักษาระยะห่างมากขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงต้องปรับแผนให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ด้วยการนำเสนอทางเลือกให้กับลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่มีแบรนด์ “บริทาเนีย ” เป็นโครงการอสังหาฯผสมผสาน (มิกซ์ยูส) ที่มีทั้งทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด บ้านเดี่ยว ระดับราคา 3-7 ล้านบาท

โดยการนำเสนอ 3 แบรนด์ใหม่ ประกอบด้วย 1. ‘เบลกราเวีย’ เป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวลักชัวรี่ ราคา 15-35 ล้านบาท ที่มีพูล วิลล่า ส่วนตัวทุกหลัง 2. ‘แกรนด์ บริทาเนีย’ เป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับพรีเมียม ราคา 7-15 ล้านบาท และ 3. ‘ไบรตัน’ เป็นแบรนด์บ้านแฝดและทาวน์โฮม ราคา 2-5 ล้านบาท ที่มีแนวคิด Brighten Up Your Freedom เติมสีสันให้ชีวิตอิสระ ด้วยระบบ Home Automation เพื่อขยายเซ็กเมนท์ให้ครอบคลุมความต้องการทุกกลุ่มที่มี ‘กำลังซื้อ’ จากเดิมที่จับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง (Middle Income) ภายใต้แบรนด์บริทาเนีย ที่มีระดับราคา 3-7 ล้านบาท

“เราต้องการขยายฐานลูกค้าเรียลดีมานด์ของแนวราบให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อในแต่ละเซกเมนต์ ทำให้ไม่เสียโอกาส เพราะบ้านเป็นปัจจัยสี่ที่คนขาดไม่ได้ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีคนยังต้องการมีบ้านเพื่ออยู่อาศัย เริ่มตั้งแต่คนเจนซี ที่ต้องการบ้านหลังแรกไปจนถึงคนที่มีความต้องการซื้อบ้านหรูที่ตอบโจทย์ความต้องการอีโมชั่นนัลมากกว่าฟังก์ชั่นนอล”

ขณะเดียวกันแนวทางการขยายฐานลูกค้าและทำตลาดของบริทาเนีย ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของโลเคชั่น หรือทำเล จากเดิมที่เป็นเจ้าแห่งทำเลโซนตะวันออก และเริ่มขยายอาณาจักรสู่บริเวณตอนเหนือของกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และเดินหน้าบุกทำเลใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตทุกโซนรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยเฉพาะในโซนเหนือของกรุงเทพฯ ที่เกาะกับแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งเป็นแนวทางของออริจิ้น นั่นเอง

“เราจะเน้นทำเลศักยภาพที่เป็นบลูโอเชียน ไม่ใช่เรดโอเชียนอย่างรังสิต เราไม่ไปทำตลาดให้เหนื่อย เพราะปีนี้ถือเป็นปีที่ท้าทายสำหรับอสังหาฯ ”

นอกจากนี้ จะเพิ่มนวัตกรรมการอยู่อาศัย เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์กว่าเดิม สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอัจฉริยะ ด้วยการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาช่วยทำให้การใช้ชีวิตสะดวก สบายมากยิ่งขึ้น สามารถ เชื่อมต่อระบบการสื่อสารไร้สาย เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่

โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปี บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,800 ล้านบาท ทั้งในเซ็กเมนท์ใหม่และทำเลใหม่ที่ตลาดยังมีดีมานด์ อาทิ เบลกราเวีย เอ็กคลูซีฟ พูล วิลล่า บางนา พระราม 9 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ,ไบรตัน คูคต สเตชั่น มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท และไบรตัน บางนา กม.26 มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท

“การบุกทำเลใหม่และเซ็กเมนท์ใหม่ เป็นทั้งการเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงโครงการบ้านจัดสรรคุณภาพสไตล์Modern British ขณะเดียวกัน ก็เป็นการเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจให้บริษัทได้พัฒนาเซ็กเมนท์และขยายไปในทำเลศักยภาพอื่นๆ”

ศุภลักษณ์ ยังระบุว่า แม้บริษัทจะเพิ่งเปิดตัวและเริ่มดำเนินธุรกิจมาได้ประมาณ 2 ปี 9 เดือน แต่ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคความเชื่อมั่นในบริษัทแม่ ทำให้สามารถปิดการขายโครงการบริทาเนีย ศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นโครงการแรกของบริษัทได้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีครึ่ง จากค่าเฉลี่ยตลาดที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 ปี และกำลังจะปิดการขายโครงการบริทาเนีย บางนา กม.12 ภายในระยะเวลาประมาณปีครึ่ง ตอกย้ำความเป็นเจ้าแห่งทำเลฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ จนปัจจุบันบริษัทเปิดตัวโครงการสะสม 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 13,217 ล้านบาท