'ก้าวไกล' ฝ่ายค้านอิสระ

'ก้าวไกล' ฝ่ายค้านอิสระ

 “ยามศึกเรารบ ยามสงบเรารบกันเอง” น่าจะเป็นประโยคที่ใช้ได้ดีในสถานการณ์ภายในของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ภายหลังสองพรรคใหญ่ ‘เพื่อไทย-ก้าวไกล’ ออกอาการตีกันเองผ่านสื่ออีกครั้ง

หากย้อนกลับไปเมื่อไม่นานมานี้ สองพรรคที่เคยมีที่ทำการพรรคติดกัน ได้เคยประลองกำลังกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการที่บรรดา ส.ส.ขาใหญ่ของพรรคเพื่อไทย แสดงทัศนะว่าพรรคอนาคตใหม่อาจไปไม่รอด ถึงขั้นที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล’ เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ในเวลานนั้น ต้องออกมาแถลงข่าวเพื่อแสดงความไม่พอใจกับการเสียมารยาทของพรรคเพื่อไทย ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะขอโทษในเวลาต่อมา

แต่จุดที่เป็นความร้าวฉานอย่างแท้จริง คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่พรรคเพื่อไทยอภิปรายจนกินเวลาของพรรคอนาคตใหม่ ทำให้ ส.ส.ของพรรคไม่ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี 

ครั้งนั้นบรรดา ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ต่างมองพรรคเพื่อไทยด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจพอสมควร เพราะตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกันมา มีข่าวตลอด ส.ส.ฝ่ายค้านในเพื่อไทย ไปซูเอี๋ย พล.อ.ประวิตร หลายคราว

นับจากนั้นมา เมื่อพรรคอนาคตใหม่ได้อวตารมาเป็น พรรคก้าวไกล’ จึงได้พยายามแสดงความเป็นเอกเทศหลายครั้ง โดยเฉพาะการแสดงความคิดเห็นสนับสนุนแนวทางการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษานอกสภา ไม่เว้นแม้แต่กลุ่ม “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” ซึ่งประกาศข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ข้อ

 

เมื่อพรรคก้าวไกลเล่นกับการเมืองนอกสภา ที่แถมแตะต้องในเรื่องละเอียดอ่อน ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยเลือกที่จะถอยออกมาจากพรรคก้าวไกลหนึ่งก้าวใหญ่ๆ ดังจะเห็นได้จากการเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่กำหนดห้ามไม่ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญเข้าไปแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และ หมวด 2 ว่าด้วยบททั่วไปและพระมหากษัตริย์ จนเป็นสาเหตุที่ทำให้พรรคก้าวไกล ออกอาการอารมณ์บ่จอย ไม่ลงชื่อร่วมในญัตติของพรรคเพื่อไทย

แต่ความร้าวฉานครั้งนั้น ยังไม่เท่ากับการที่พรรคเพื่อไทยหักหน้าพรรคก้าวไกล ด้วยการเสนอญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 โดยเป็นญัตติที่ไม่ชื่อของ ส.ส.พรรคก้าวไกลลงชื่อด้วย ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความลึกของร้าวมากขึ้นไปอีก

พรรคก้าวไกล โดย ‘รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ จึงได้ท้วงติงถึงการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยในทำนองว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับรัฐบาล “การที่พรรคเพื่อไทยเลือกที่จะอภิปรายตามมาตรา 152 ในทางปฏิบัติจะกลายเป็นเพียงการหยิบยื่นโอกาสให้รัฐบาลได้หาข้อแก้ตัวให้กับการกระทำของตัวเอง โดยที่สภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถใช้อำนาจที่มีในการลงโทษรัฐบาลได้เลย” ท่าทีของโรม เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา

แต่เมื่อดูท่าทีฝั่งพรรคเพื่อไทยอย่าง ‘สุทิน คลังแสงประธานวิปฝ่ายค้าน กลับไม่ได้ออกอาการเต้นตามความเดือดเนื้อร้อนใจของพรรคก้าวไกลเท่าใดนัก เพียงแต่เปรยว่า เป็นพวกวัยรุ่นใจร้อนที่น่าจะทำความเข้าใจกันได้

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สองพรรคใหญ่ในขั้วฝ่ายค้านมีช่องว่างห่างกันมากขึ้นไปทุกที คือ บรรยากาศการเมืองนอกสภา เนื่องจากพรรคก้าวไกลต้องการพยายามเล่นกับกระแสของกลุ่มนักศึกษา ส่วนพรรคเพื่อไทยมองต่างออกไป ที่ยังเห็นว่าพรรคการเมืองควรมีจุดยืน ที่ต้องทำให้ปัญหาทางการเมืองได้รับการคลี่คลายในสภา และเมื่อการเมืองนอกสภาเริ่มเล่นของร้อน ยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยส่ายหน้าไม่เอาด้วย และพยายามใช้กลไกของสภาเพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปยังพรรคก้าวไกล

แต่พรรคก้าวไกลไม่ได้มองเช่นนั้น เพราะมองว่านี่จะเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการกดดันรัฐบาลให้ยอมรับข้อเรียกร้องและนำไปสู่การปฏิบัติ ประกอบกับท่าทีของพรรคเพื่อไทย มีลักษณะอิงแอบแนบกับขั้วอำนาจการเมืองในพรรครัฐบาลมากเกินกว่าไปที่พรรคก้าวไกลจะรับได้ จึงพยายามแยกตัวเป็นเอกเทศ 

แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจ เสียงของ ส.ส.พรรคก้าวไกลเพียงพรรคเดียวจะไม่พอต่อการเสนอร่างรัฐธรรมนูญในเวอร์ชั่นของพรรคก็ตาม ดังนั้น การแถลงจุดยืนของพรรคก้าวไกลในวันที่ 26 ส.ค.อาจมีนัยสำคัญ ที่แฝงไปด้วยการเป็น พรรคฝ่ายค้านอิสระอย่างแท้จริง ก็เป็นไปได้