'บิ๊กตู่' โยน กมธ.พิจารณา 'เรือดำน้ำ' เตือน ม็อบอย่าสร้างความแตกแยก

'บิ๊กตู่' โยน กมธ.พิจารณา 'เรือดำน้ำ' เตือน ม็อบอย่าสร้างความแตกแยก

"พล.อ.ประยุทธ์" โยน กมธ.พิจารณา"เรือดำน้ำ" แนะหาทางออกหลายกระทรวงถูกตัดงบ เตือนม็อบอย่าสร้างความแตกแยก ชี้ต่างประเทศจับตา สวนเฟซบุ๊กมองกฎหมายไทย ลั่นไม่เคยไปก้าวล่วงต่างประเทศ

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 63 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ จังหวัดระยอง ว่า วันนี้ประชุม ครม.สัญจรครั้งแรก เมื่อปรับ ครม.ใหม่ โดยมีการประชุมหลายอย่าง รวมถึงพบปะหารือกับทุกภาคส่วน ในเรื่องการพัฒนาเศรษฐและสังคม ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก อาทิ การฟื้นฟูป่าชายเลน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งทุกโครงการต้องสอดรับกับ อีอีซี โดยให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องรับแผนงานไปพิจารณา ขณะเดียวกัน วันนี้ ก็ยังได้ประชุมร่วมกับนักศึกษา ซึ่งก็ได้เสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ อาทิ เรื่องการศึกษา อาชีพ รายได้ โดยตนเองก็รับข้อเสนอนักศึกษามา เพราะจำเป็นต้องรับฟังความเห็น เนื่องจากจะเกิดผลดีกับนักศึกษา

ส่วนเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำ แม้กองทัพเรือจะมีการชี้แจงรายละเอียดและความจำเป็นแล้วก็ตาม แต่ประชาชนยังมีข้อสงสัยอีกทั้งฝ่ายการเมืองเองก็มีการตั้งข้อสังเกต โดยเฉพาะมีการแฉชื่อนายพล ป. เกี่ยวข้อง พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า เป็นเรื่องของ กมธ.พิจาณาในสภา ซึ่งจะได้ข้อสรุปอย่างไรต้องรอฟัง แต่ยืนยันตนไม่จำเป็นต้องสั่งการอะไรเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ขอฝาก กมธ.ให้ความเป็นธรรมด้วยในหลายอย่าง เพราะหลายกระทรวงถูกตัดงบประมาณหลายกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับประชาชน โดยต้องพิจาณาดูว่า จะเดินหน้าได้อย่างไร

เมื่อถามว่า ความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนนิสิตนักศึกษาที่ยังคงออกมาเคลื่อนไหวต่อเนื่อง รวมทั้งมีข้อเรียกร้องต่างๆ คิดว่าจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลและการทำงานในขณะนี้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า การชุมนุมตนถือว่าเป็นวิถีปกติตามระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกันสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ พร้อมยืนยัน ไม่ได้ห้ามฟังผู้ชุมนุม แต่มีการห้ามฟังตน ซึ่งต้องฟังทั้ง 2 ฝ่าย โดยอย่าให้มีการแตกความสามัคคีเด็ดขาด รวมถึงขอให้ช่วยกันลดผลกระทบด้วย เพราะถูกจับตามองทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

ส่วนท่าทีของรัฐบาล ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า การแก้ไข รธน.เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลอยู่แล้ว ซึ่งพรรคร่วมต่างๆ ก็จะเสนอร่างของพรรคร่วม เพราะทุกคนมีสิทธิเสนอได้ โดยยืนยัน ตนไม่มีส่วนขัดข้อง

เมื่อถามถึงกรณีที่เฟซบุ๊กมีแผนที่จะดำเนินการฟ้องร้องรัฐบาลไทย จากกรณีที่กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ขอให้เฟซบุ๊ก ดำเนินการบล็อกกลุ่มที่มีชื่อว่ารอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ต้องมองทั้ง 2 ด้าน โดยกฎหมายประเทศไทยว่าอย่างไร ซึ่งทุกคนต้องเคารพกฎหมายของแต่ละประเทศ โดยตนเอง ไม่เคยไปก้าวล่วงต่างประเทศ เพราะเป็นกฎหมายของเขา ดังนั้น ใครจะทำอะไร ก็ขอให้ระมัดระวังเรื่องเหล่านี้ด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ ยังบอกว่า กลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส คนขับเคลื่อนคือ "สมศักดิ์" กับ "ปวิน" ซึ่งคนเหล่านี้ ก็รู้อยู่ว่าเป็นอย่างไร และวันนี้อยู่ที่ไหน รับผิดชอบความเสียหายของประเทศหรือไม่ โดยคนไทยต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย เขาไม่ได้รับผลกระทบ แต่คนที่เดือดร้อนคือ ประเทศไทย นอกจากนี้ ย้ำว่า การดำเนินการกับเพจต่างๆ เป็นเรื่องการดำเนินการตามกฎหมายไทยทั้งสิ้น และไม่เคยใช้อำนาจเผด็จการ ซึ่งไม่ใช่ เพราะขอคำสั่งศาลทุกอย่าง

พล.อ.ประยุทธ์ ยังบอกถึงสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือว่า เราต้องดูจะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้อย่างไร เพราะหลายพื้นที่เกิดปัญหาซ้ำซาก โดยถ้าคิดแบบเดิม ไม่ทำที่เก็บน้ำ แหล่งน้ำสำรอง ก็จะเกิดปัญหาอีก และประชาชน ก็ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งจากนี้ ต้องดูทำโครงการใหญ่อะไรได้บ้าง โดยตนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำแผนแก้ปัญหาน้ำท่วมทั้งประเทศมาให้ดูแล้ว

เมื่อถามกรณี ส.ส.พรรคก้าวไกล ปลุกกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ตามบุตรสาวของนายกฯ มองเป็นการคุกคามหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า สังคมต้องคิดเอาเอง โดยตนไม่ตอบเรื่องเหล่านี้ เพราะเชื่อมั่นในตัวตนเองว่า ไม่ได้ทำอะไรตามที่เขากล่าวอ้าง

ส่วนเรื่องแนวคิดการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในเดือนตุลาคมนี้ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า เป็นการประชุมถึงเรื่องผบกระทบเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจท่องเที่ยว การรักษาพยาบาล เพราะทั้งหมดเป็นรายได้ของประเทศ โดยขอยืนยัน เรามีขีดความสามารถในการคัดกรอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องคิด 2 ทาง ทั้งเศรษฐกิจ และสุขภาพ

พล.อ.ประยุทธ์ ยังบอกว่า วันนี้ตนดีใจ ที่มีโอกาสพบปะกับนักศึกษา ที่มาแสดงความคิดเห็น เป็นการเปิดเวทีพูดคุย โดยตนรับได้ทุกข้อเสนอ และได้แจ้งกลับไปว่า ทุกอย่างก็ตรงกับสิ่งที่รัฐบาลคิดอยู่ ทั้งเรื่องปรับปรุงระบบการศึกษา การจัดทำเวลาเรียน การบ้านลดลง ซึ่งยืนยัน ระบบการศึกษาเราไม่ได้เลวร้ายขนาดที่ว่ากัน เพราะยังมีโอกาสพัฒนา