FDA อนุมัติใช้พลาสมารักษาโควิด-19

FDA อนุมัติใช้พลาสมารักษาโควิด-19

สัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวลงกว่า 27.79 จุด หรือ -2% โดยมีปัจจัยกดดันจากแนวโน้มผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ประกอบกับภายในประเทศพบผู้ติดเชื้อฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 80 วัน ขณะที่วันศุกร์ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,299.26 จุด (+2.47 จุด) Volume 4.2 หมื่นลบ. ต่างชาติ -222.89 ลบ. TFEX Net +5,173 สัญญา ตราสารหนี้ -3,839 ลบ.

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

+ดัชนีดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 190.60 จุด +0.69% ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากราคาหุ้นแอปเปิลที่พุ่งขึ้นและข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ

-ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 48 เซนต์ -1.1% ปิดที่ 42.34 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ เพิ่ม  ขึ้น 0.1% ในรอบสัปดาห์ ที่ผ่านมา จากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมัน ขณะที่การแพร่ระบาดของ ไวรัส โควิด-19 ยังคงถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

+ดัชนี PMI ภาคผลิต-บริการสหรัฐในเดือนส.ค. พุ่งสูงสุดรอบ 18 เดือน

+สหรัฐ-อียูประกาศข้อตกลงลดภาษีหวังหนุนเปิดตลาดการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้น

+ปธน.ทรัมป์ยืนยัน FDAไฟเขียวใช้พลาสมารักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้แล้ว

-สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐหลังมีรายงานว่า TikTok เตรียมยื่นฟ้องดำเนินคดีปธน.ทรัมป์ที่ห้ามประชาชน และบริษัทสหรัฐใช้บริการหรือทำธุรกิจด้วย

-การเมืองในประเทศมีความไม่แน่นอนมากขึ้น

-อนุกมธ.งบปี 64 มีมติ 5:4 เคาะให้ทร.จัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน 2 ลำ 2.25 หมื่นลบ.

+ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดเพิ่มขึ้น 16.78 จุด +0.50%

+ดัชนีนิกเกอิปิดเพิ่มขึ้น 39.68 จุด +0.17% เช้าเปิด -7.10 จุดวิตกสถานการณ์จีน-สหรัฐตึงเครียด

-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 2.40 แสนลบ. ค่าเงินบาท 31.54 บาท/US

*จับตากระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า ส่วนสหรัฐเผยดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนก.ค.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

คาดดัชนีตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดต่างประเทศ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่า FDA ได้อนุมัติให้ใช้พลาสมาในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้แล้ว ประกอบกับดัชนี PMI ของสหรัฐ เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 54.7 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,290-1,310 จุด

 

หุ้นรายงานพิเศษ

CK Analyst Meeting : 2H20 คาดว่างานโครงการต่างๆจะกลับมาเริ่มประมูลตามแผนอีกครั้ง (“ซื้อราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 23.37 บาท)

  • ผลประกอบการ 2Q20 มีรายได้ก่อสร้างที่ระดับ 3,971 ล้านบาท -26%QoQ โดยมีสาเหตุมาจาก โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น และโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ได้ส่งมอบงานแล้วในปี 2562  และหลายโครงการอยู่ในช่วงปลายโครงการ โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 9%  ส่งผลให้มีกำไรสุทธิเท่ากับ 7 ล้านบาท พลิกจาก 1Q20 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 112.3 ล้านบาท
  • คาดผลประกอบการได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q20 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และน้ำแล้ง และคาดว่าผลประกอบการจะกลับเข้าสู่สภาวะปรกติอีกครั้งตั้งแต่ 3Q20 โดยในช่วง 2H20 คาดว่างานโครงการต่างๆจะกลับมาเริ่มประมูลตามแผนอีกครั้งหลังจากวิกฤตโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย โดยเฉพาะงานโครงการขนาดใหญ่อย่างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ที่กำหนดยื่นซอง 23 ก.ย.63 โดยบริษัทคาดยอด Backlog ที่ระดับ 1.5-2.0 แสนล้านบาท จากปัจจุบันอยูที่ระดับ 3.0 หมื่นล้านบาท
  • ความเห็น เรามีมุมมองเป็นบวกหลังการประชุมนักวิเคราะห์ เนื่องจากผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q20 และเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น และมีงานโครงการขนาดใหญ่ที่เตรียมเข้าประมูลอีกหลายโครงการ แนะนำ ซื้อ

 

กลยุทธ์การลงทุน

  • หุ้น Defensive Stock (ADVANC INTUCH DIF TTW BEM BTS CHG BCH)
  • หุ้นที่ได้ประโยชน์หลังธปท.ห้ามมือถือ 'รุ่นเก่า' ใช้โมบายแบงกิ้ง (COM7 SPVI JMART SIS SYNEX)

หุ้นมีข่าว

สรุปข้อสนเทศ

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี KBSPIF

                ลงทุนในสิทธิในผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้าของบริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี (KPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ใช้กากอ้อยเป็นเชื้อเพลิง โดยได้รับผลประโยชน์คิดเป็น 62% ของรายได้ค่าไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 2 สัญญา คือ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าประเภทโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ขนาด 22 เมกะวัตต์ ระหว่าง KPP กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) และสองคือ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าขนาด 3.5 เมกะวัตต์ ระหว่าง KPP กับ บมจ. น้ำตาลครบุรี (KBS) ซึ่งมีอัตราค่าไฟ 2.90 บาท/kw-h ตลอดอายุสัญญา

                กองทุน KBSPIF มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่า 90%ของกำไรสุทธิที่ได้ปรับปรุงแล้ว โดยคาดว่ากองทุนฯ มีประมาณการอัตราการปันส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยสำหรับปีแรกอยู่ที่ 8.95%

                Ipo ที่ราคา 10 บาท จำนวน 280 ล้านหน่วย รวมมูลค่าเสนอขาย 2,800 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานประเภทโรงไฟฟ้า รวมถึงในทรัพย์สินอื่นๆ หลักทรัพย์ และ/หรือ ตราสารอื่นๆ ตามที่กฎหมายหลักทรัพย์อนุญาตให้ลงทุนได้

(+) BCPG (Bloomberg Consensus 21.42 บาท) บอร์ด BCPG ไฟเขียวออกหุ้นเพิ่มทุน 1,301.7 ล้านหุ้น เสนอขาย RO-PP ที่ราคาหุ้นละ 11.5 บาท และรองรับการแปลงวอร์แรนต์ คาดว่าระดมทุนได้กว่า 10,232.6 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า หนุนอีบิทด้าโต 75% (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) BAM (Bloomberg Consensus 28.00 บาท) บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) จ่อบันทึกกำไรพิเศษ 5 พันล้านบาท จากรายการภาษีสินทรัพย์ล่วงหน้า (DTA) ในไตรมาส 3 นี้เร่ง "อีวาย" ตรวจสอบรายละเอียด พร้อมจัดโปรโมชั่นใหญ่กระตุ้นยอดขายเดือน ก.ย.นี้ ลดราคาสูงสุดกว่า 30% ฟรีค่าโอนนักวิเคราะห์คาดกำไรไตรมาส 2 อยู่ที่ 653 ล้านบาท ลดลง 13% แจ้ง 28 ส.ค.นี้ ส่วนครึ่งปีหลังกลับมาเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก บล.เมย์แบงก์ฯให้เป้า 31.50 บาท (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) ITEL (Bloomberg Consensus 3.40 บาท)  คว้างานออกแบบ และติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสงของกฟภ. มูลค่า 249.70 ล้านบาท หนุนแบ็กล็อกทะลุ 4,709.45 ล้านบาท ส่งซิกครึ่งปีหลังสวย! มีงานทยอยเข้ามาต่อเนื่อง ผลักดันผลประกอบการปี 63 เติบโตแข็งแกร่ง (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) ACE (Bloomberg Consensus - บาท)   ประกาศความสำเร็จเข้าซื้อและรับโอนกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 บริษัท กำลังผลิตรวม 26.9 เมกะวัตต์ จาก UWC เสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา คาดช่วยเพิ่มรายได้ให้ ACE ได้อีกราว 800-900 ล้านบาท/ปี (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) TU (Bloomberg Consensus 15.98 บาท) ชูอาหารกระป๋องขายดีช่วงโควิด ตลาดต่างประเทศ สหรัฐ-ยุโรป ป้อนออเดอร์ต่อเนื่อง เชื่อไตรมาส 3/2563 เติบโตดี ระบุหลังคลายล็อกดาวน์ธุรกิจร้านอาหารกลับมามีกิจกรรมการค้าหนุนความต้องการอาหารแช่แข็งเพิ่ม พร้อมหั่นงบปีนี้เหลือ 3.7 พันล้านบาท เน้นรักษาเงินสด (ที่มา ทันหุ้น)

(+) CENTEL (Bloomberg Consensus 24.54 บาท)  เชื่อผลงานครึ่งหลังดี หลังมาตรการเที่ยวในประเทศเห็นผล ดันกลับมาเปิดตามปกติ ลุ้นมาตรการ Bubble Corridor หนุนเพิ่ม คาดอัตราการเข้าพักโรงแรมขยับขึ้น 30-40% ต่อแห่ง สู่จุดคุ้มทุน ด้านธุรกิจอาหารแนวโน้มดีขึ้น ฟู้ดเดลิเวอรี่ช่วย แต่ภาพรวมยังลบ 12% ตั้งงบลงทุน 5 ปี 1.73 หมื่นล้าน (ที่มา ทันหุ้น)

(+) SYNEX (Bloomberg Consensus 15.90 บาท) รับอานิสงส์ 5G-เปิดตัวสินค้าใหม่ช่วงไฮซีซันกระตุ้นตลาดช่วงปลายปี ขณะที่ไตรมาส 2/2563 ผลงานโตเด่นสวนโควิด-19 กำไร 166 ล้านบาท โต 40% มีรายได้จากการขาย 8,693 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% ชูยอดขายอุปกรณ์สื่อสารคอมพิวเตอร์ และเกมมิ่งหนุน (ที่มา ทันหุ้น)

(+) MCS (Bloomberg Consensus - บาท) จ่อเซ็นสัญญาคว้างานเพิ่มอีก 1 หมื่นตัน ภายในเดือนสิงหาคมนี้ หนุน Backlog จากปัจจุบันที่ 1 แสนตัน แถมมีโครงการรอติดตามอีก 1 แสนตัน เตรียมส่งมอบงาน 2 โครงการ ทั้งปี 2563 คาดรายได้แตะ 4 พันล้านบาท ฟากโบรกชูหุ้นผลงานโดดเด่น ยิลด์ปันผล 6.4% เคาะเป้าหมาย 17.70 บาท (ที่มา ทันหุ้น)

ASIAN Conference Call (Bloomberg Consensus 15) | มุมมองบวกจากมาร์จิ้นดีขึ้นมาก

แนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งปีหลังไม่น้อยกว่าครึ่งปีแรกที่มีกำไร 405 ลบ. +10% แม้ปรับลดเป้ายอดขายแต่อัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับดีขึ้นมากสู่ระดับ 16.6% ใน 1H63 ทำให้เป้าอัตรากำไรขั้นต้นปรับขึ้นสู่ 13-15% จากระดับ 8% ในปี 62 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณขายจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง

ความเห็น ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกจากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่มีศักยภาพในการเติบโตดีที่ได้รับอานิสงส์จากมาร์จิ้นที่ปรับดีขึ้นมาก คาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังอย่างน้อยน่าจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก

JKN Conference Call (IAA Consensus 6.65 บาท) โควิด-19 สร้างโอกาส

ผู้บริหารชี้แจงถึงโอกาสที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้รายได้เติบโตจากการขาย content ได้เพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกค้าทีวีดิจิตอลและลูกค้าต่างประเทศ ต้นทุนค่าลิขสิทธิลดลงจากการได้ขยายระยะเวลาจากปกติ 3 ปี เป็น 5-7 ปีทำให้ค่าตัดจำหน่ายต่อปีลดลง และคชจ.ดำเนินงานลดลงจากการที่ไม่ได้จัดงาน mega show case และกิจกรรมส่งเสริมการขายในต่างประเทศ รวมทั้งรายได้จาก Video on demand เติบโตดี

ความเห็น ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกจากต้นทุนค่าลิขสิทธิมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว ราคาหุ้นซื้อขายที่ PE 13 เท่าซึ่งต่ำกว่าระดับสูงสุดในอดีตที่ระดับเกิน 40 เท่า

CKP ขายทำกำไรเพราะราคาขึ้นมากว่า 80%

  • คาดผลประกอบการ 1H63 ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเนื่องจากเขื่อนไซยะบุรีและน้ำงึม 2 ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเริ่มกลับมาสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะเขื่อนไซยะบุรีที่น้ำไหลเข้าเขื่อนสูงถึง 8,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที(สูงกว่าค่าเฉลี่ย 4,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที) ส่งผลให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลังการผลิตครบทั้ง 7 เครื่องช่วยหนุนผลประกอบการ 3Q63 นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลงส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวลงในอนาคต
  • แผนการลงทุนใหม่เขื่อนหลวงพระบางยังอยู่ระหว่างทำการศึกษา และอยู่ระหว่างทำ Due diligence โดยคาดว่าจะสามารถสรุปการลงทุนในโครงการดังกล่าวได้ภายในปลายปี 63 ซึ่งจะเป็น upside risk ต่อ CKP ในอนาคต
  • ความเห็น เรามีมุมมองบวกต่อผลประกอบการใน 3Q63 ซึ่งคาดว่าจะสูงที่สุดในปีนี้ แต่ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นกว่า 80% ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. 63 และราคาปัจจุบันอยู่ใกล้เคียง Consensus เราจึงแนะนำ ขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวขึ้น