'EP' ระดมทุน 1.5 พันล. ส่งบริษัทลูกออก 'หุ้นกู้'

'EP' ระดมทุน 1.5 พันล. ส่งบริษัทลูกออก 'หุ้นกู้'

“อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป” แจ้งบริษัทลูก “อีเทอร์นิตี้ พาวเวอร์” เตรียมออกขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 1.5 พันล้านบาท อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.50% หวังรองรับแผนลงทุน วินด์ฟาร์มในเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 160 เมกะวัตต์

พร้อมจ่อเปิดขายนักลงทุนสถาบันและรายใหญ่ระหว่าง 25-28 ส.ค.นี้ โดย“ทริสเรทติ้ง”ให้อันดับเครดิต “BBB-”

นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP เปิดเผยว่า บริษัท อีเทอร์นิตี้ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETP ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท โดยมีอายุหุ้นกู้ 2 ปีและอัตราดอกเบี้ยคงที่ระดับ 5.50% กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน พร้อมจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่จองซื้อในระหว่างวันที่ 25-28 ส.ค.2563 ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ดังกล่าว

สำหรับวัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดในช่วงเดือน ก.ย.2563 มูลค่า 500 ล้านบาท และนำเงินอีกประมาณ 1,000 ล้านบาทไปใช้ลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมที่ประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิตรวม 160 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จภายในปี 2564 และจะสนับสนุนให้กำลังการผลิตรวมไฟฟ้าของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 560 MW จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 400 MW

ทั้งนี้ บริษัทมีความมั่นใจว่า หุ้นกู้ชุดดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในช่วงขาลง อีกทั้งยังมีการจ่ายอัตราดอกเบี้ยสม่ำเสมอทุก 3 เดือน จึงเชื่อว่าจะเป็นทางเลือกในการออมและการลงทุนที่น่าสนใจในขณะนี้ โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้มีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหุ้นกู้ที่ “BBB-” แนวโน้มอันดับเครดิต “STABLE” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด

นายยุทธ กล่าวต่อว่า ในส่วนของแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ คาดว่าผลประกอบการจะออกมาเติบโตดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากได้ผ่านพ้นแรงกดดันจากช่วงสถานการณ์โควิด-19 ไปแล้ว ขณะที่ในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้ายังสามารถเติบโตได้ เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่งเริ่มต้นในปีนี้ยังมีแนวโน้มการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับอานิสงส์จากความต้องการของธุรกิจเดลิเวอรี่และคาดว่าจะภายใน 2 ปีธุรกิจจะเติบโตเป็นเท่าตัว

นอกจากนี้ในส่วนของผลประกอบการในปีนี้ บริษัทคาดว่า รายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 40% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,103 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้ที่แน่นอนจากธุรกิจโรงไฟฟ้า และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต

"ปัจจุบันธุรกิจบรรจุภัณฑ์เติบโตได้ค่อนข้างดี ซึ่งคาดว่าจะเห็นการขยายตัวที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3ปี2563 โดยบริษัทคาดว่าในอนาคตสัดส่วนจากธุรกิจดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีรายได้หลักจากธุรกิจโรงไฟฟ้าสัดส่วนราว 65% และธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์35%"