'ปิยบุตร' แนะไม่ควรปิดช่องแก้ รธน.หมวด 1-2 ชี้ อดีตเคยมีการแก้มาแล้ว

'ปิยบุตร' แนะไม่ควรปิดช่องแก้ รธน.หมวด 1-2 ชี้ อดีตเคยมีการแก้มาแล้ว

"ปิยบุตร" แนะไม่ควรปิดช่องแก้ รธน.หมวด 1-2 อดีตเคยมีการแก้มาแล้ว - ชี้ “ไม่ห้ามแก้” ไม่เท่ากับ “ต้องการแก้“-”การแก้” ไม่เท่ากับ “ล้มล้าง“

เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 63 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก กรณีความเคลื่อนไหวและความเห็นของพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในเรื่องของหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ซึ่งทั้งพรรคร่วมฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาล ได้แสดงจุดยืนว่าจะต้องไม่มีการแก้ไขในทั้งสองหมวด เว้นแต่พรรคก้าวไกลเพียงพรรคเดียวที่เสนอว่าไม่ควรปิดกั้นไม่ให้มีการแก้ไขในทั้งสองหมวด

โดย นายปิยบุตร ระบุว่า ตนขอแสดงความเห็นทางวิชาการเพื่อยืนยัน ว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ไม่ควรกำหนดเงื่อนไขห้ามแก้ไข หมวด 1 และหมวด 2 ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ

1) เหตุผลทางกฎหมาย ไม่มีข้อจำกัดใดในรัฐธรรมนูญที่ห้ามมิให้แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 และข้อจำกัดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ในมาตรา 255 โดยใจความสำคัญมีเพียงว่า ห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญจนกระทบต่อรูปของรัฐ (ความเป็นรัฐเดี่ยว และความเป็นราชอาณาจักร) และห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญจนกระทบต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

รัฐธรรมนูญจึงมิได้ห้ามมิให้แก้ไข หมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ แต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากมาตรา 256 (8) ที่เปิดทางไว้ว่าหากจะแก้ไขในหมวดดังกล่าว ต้องให้จัดให้มีการออกเสียงประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ

“บทบัญญัตินี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 และหมวด 2 กระทำได้ ดังนั้น บทบัญญัติในหมวด 1 และหมวด 2 ย่อมถูกแก้ไขเพิ่มเติมได้เสมอ ตราบเท่าที่ไม่กระทบกระเทือนหรือส่งผลเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” นายปิยบุตรระบุ

นายปิยบุตรยังระบุต่อไป ว่าหากใครก็ตามกังวลว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง เปลี่ยนรูปของรัฐ หรือเปลี่ยนระบอบการปกครองได้นั่นเป็นความกังวลที่เกินจริงไป เพราะการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อยู่ภายใต้กรอบเพดานของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและความเป็นรัฐเดี่ยว ไม่ว่าอย่างไร สภาร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่อาจร่างรัฐธรรมนูญจนเปลี่ยนให้เป็นสหพันธรัฐ สาธารณรัฐ หรือเผด็จการได้ หรือหากยังกังวล ยังไม่ไว้ใจประชาชน ไม่ไว้ใจสภาร่างรัฐธรรมนูญ เราก็สามารถตีกรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ลงไปให้ชัดเจนอีกก็ทำได้

2) เหตุผลทางประวัติศาสตร์ ในอดีตเคยแก้ไขมาแล้ว หากพิจารณาตามประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญไทย พบว่าในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หลายครั้ง ก็มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหมวด 1 และหมวด 2 มาแล้ว เช่น การเพิ่มคำว่า “มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ในรัฐธรรมนูญ 2492, การเพิ่มคำว่า “อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ในรัฐธรรมนูญ 2534, การเปลี่ยนคำว่า “อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย” มาเป็น “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” ในรัฐธรรมนูญ 2540

และการเพิ่มบทบัญญัติมาตรา 7 “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใดให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ในรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นต้น

นอกจากนี้ ในหมวด 2 พระมหากษัตริย์นั้น รัฐธรรมนูญ 2492 ได้เคยแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับองคมนตรี, รัฐธรรมนูญ 2534 เคยแก้ไขในส่วนของการตรากฎมณเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ จากเดิมที่ต้องให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบมาเป็นให้รัฐสภารับทราบ และแก้ไขในส่วนการขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ จากเดิมที่ต้องให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ มาเป็นให้รัฐสภารับทราบ, หรือล่าสุดรัฐธรรมนูญ 2560 ก็มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ในหลายประเด็น

“นอกจากนี้ การเปลี่ยนผ่านจากรัฐธรรมนูญ 2534 ไปเป็นรัฐธรรมนูญ 2540 โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่จัดทำนั้น ก็ไม่ได้ตีกรอบเงื่อนไขไว้ว่าห้ามแก้ไขเปลี่ยนแปลง หมวด 1 และหมวด 2 กระบวนการเช่นว่านี้ ทำให้เราได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ 2540 และประเทศไทยก็ยังคงเป็นราชอาณาจักร รัฐเดี่ยว และปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” นายปิยบุตรระบุ

จากนั้น นายปิยบุตรได้ระบุถึงเหตุผลประการที่ 3) เหตุผลทางปฏิบัติ ว่าหากมีกรณีจำเป็นต้องแก้ขึ้นมา จะทำอย่างไร? การกำหนดห้ามแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 ไว้ล่วงหน้า ทำให้แข็งและตึงตัวจนเกินไป ในกรณีที่เกิดความจำเป็นต้องแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 ขึ้นมาจริงๆ แล้วแก้ไขไม่ได้เพราะ “ติดล็อค” ข้อห้ามดังกล่าว อาจนำมาสู่วิกฤตทางรัฐธรรมนูญได้

การไม่กำหนดข้อห้ามแก้หมวด 1 หมวด 2 ไม่ได้หมายความว่าต้องการแก้ไข จะแก้ไขหรือไม่อยู่ที่สภาร่างรัฐธรรมนูญ ดังเช่น กรณีล่าสุดเกิดขึ้นกับการจัดทำรัฐธรรมนูญ 2560 นี้เอง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทูลเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ แต่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งลงมาให้แก้ไขใหม่ในบทบัญญัติที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจ

ในครั้งนั้น คณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงต้องหาทางออกเพื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติมาแล้วให้สอดคล้องกับพระราชกระแสรับสั่ง โดยให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) 2557 เสียใหม่ ในมาตรา 37/1 วรรค 11 เพื่อกำหนดรับรองกรณีพระมหากษัตริย์พระราชทานข้อสังเกตว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อความใดได้ และเพื่อเปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมาเพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะประเด็นตามข้อสังเกต

“อนึ่ง หากการแก้ไขบทบัญญัติในหมวด 1 ก็ดี หมวด 2 ก็ดี เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย เพื่อให้พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐ ในฐานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และในฐานะเป็นสถาบันหลักอันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย ดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยแล้ว ก็สมควรที่จะดำเนินการ ทั้งนี้ เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาจากเหตุผลทั้งทางกฎหมาย ทางประวัติศาสตร์ และทางปฏิบัติแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดที่ต้องกำหนดว่า ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ห้ามมิให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง หมวด 1 และหมวด 2” นายปิยบุตร ระบุทิ้งท้าย

159791039147

159791040445