‘บิ๊กตู่’ ห่วงหากบ้านเมืองไม่สงบ จะกลับสู่สถานการณ์เดิม ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

‘บิ๊กตู่’ ห่วงหากบ้านเมืองไม่สงบ จะกลับสู่สถานการณ์เดิม ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

“บิ๊กตู่” ลั่นชุมนุม-แก้รธน.อย่าก้าวล่วงสถาบัน ยันเข้ามาด้วยกระบวนการ "ประชาธิปไตย" มี "รธน." เตือน "ม็อบเด็ก" ระวัง "โควิด-19" ห่วงหากวุ่นวาย จะกลับสู่สถานการณ์เดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

เมื่อวันที่ 19 ส.ค.63  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ว่า เรื่องเศรษฐกิจถือเป็นความสำคัญลำดับแรกในขณะนี้ เราเผชิญสถานการณ์โควิด-19 ที่เป็นวิกฤตทั่วประเทศ แม้แต่ประเทศอังกฤษของสื่อมวลชนที่มาถามตน ก็มีปัญหาเหมือนกันเรื่องเศรษฐกิจ และเราก็มีปัญหาทางการเมืองด้วยจึงอยากบอกว่ารัฐบาลจะมุ่งมั่นทำหน้าที่ทั้งสองมิติให้ดีที่สุด ทั้งนี้ การประชุมฝ่ายความมั่นคงไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่ประเด็นที่มีข่าวชุกชุมในตอนนี้เพียงอย่างเดียว แต่เราต้องทำอย่างไรว่าเศรษฐกิจจะเดินหน้าไปได้ ป้องกันสุขภาพให้ได้ เพื่อเตรียมการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ระยะที่ 2 คือ มาตรการผ่อนคลายระยะที่ 7 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องที่ทุกคนอยากจะทราบคือ การดำเนินการกรณีผู้ชุมนุม ตนคิดว่าเป็นหลักการประชาธิปไตยของทุกประเทศ หลายคนมองตนว่ามาอย่างไร เผด็จการอย่างไร วันนี้อย่าลืมว่าเราเข้ามาด้วยกระบวนการประชาธิปไตย เรามีรัฐธรรมนูญ ส่วนที่จะแก้อะไรก็ไปว่ากันต่อไปในอนาคต แต่ขออย่าก้าวล่วงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ตนคิดว่าทุกประเทศก็คงเผชิญสถานการณ์แบบนี้มาด้วยกัน ฉะนั้น สิ่งที่เรากังวลในขณะนี้ หากเกิดความวุ่นวายมากยิ่งขึ้น อาจจะมีผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่มีก็ตาม ซึ่งทุกคนทราบดีอยู่แล้ว หลายคนก็บอกว่าไม่ใช่ ไม่ได้เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม อยากให้มองไกลไปอีกนิดนึง นั่นคือ อนาคตของพวกเราทุกคนว่าอยู่ที่ไหน ที่ประเทศชาติใช่หรือไม่ ถ้าเกิดสถานการณ์บานปลายไปเรื่อยๆ และทุกคนมุ่งหวังให้เกิดความรุนแรง ให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ ความไม่สงบเรียบร้อย จะกลับไปสู่สถานการณ์เดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 

นายกฯ กล่าวว่า ดังนั้น อยากให้ทุกคนมองว่าเด็กๆ เหล่านั้นคือ พลังที่บริสุทธิ์ อาจจะมีส่วนหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ส่วนหนึ่งอาจจะถูกชักนำ ขอให้ทุกคนมองถึงอนาคตเด็กๆ ตนเห็นหัวข้อเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ หลายข้อซึ่งมีความเป็นไปไม่ได้ แต่อาจจะทำให้เด็กมีความคาดหวัง 

"ผมเห็นหลายสิบข้อที่ตามมา ยกเลิกการไหว้ครู ไม่ต้องเคารพครู พ่อแม่ก็ไม่ต้องเคารพ ผมถามว่าถ้าไม่ใช่ผมแล้วเป็นคนอื่นที่เข้ามา สิ่งที่มันเกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ สถานการณ์แบบนี้ จะมีใครแก้ปัญหานี้ได้ นั่นหมายความว่าประเทศเราก็ล่มสลาย แกนนำ หลักการต่างๆ ของประเทศชาติทั้งหมด ล้มไปสถาบันครอบครัวล้ม สถาบันการศึกษา ครู ล้มหมด นี่หรือคืออนาคต” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การที่เราไปส่งเสริมให้มีการเคลื่อนไหว ขอให้มองอีกมุมหนึ่ง ถ้ามีคนที่เจตนาไม่บริสุทธิ์ต้องการให้เกิดความรุนแรงขึ้น ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ถามว่ากฎหมาย เจ้าหน้าที่เขาจะทำอย่างไร เมื่อถึงเวลานั้น เด็กพวกนี้จะเป็นกันชนให้กับเขาหรือเปล่า นั่นคืออันตรายที่จะเกิดกับเด็ก ขอให้ทุกคนได้สำนึกเรื่องเหล่านี้ไว้ด้วย รัฐบาลไม่มีนโยบายใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาอยู่แล้ว เราดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ ไม่มีการห้ามการชุมนุม แต่ขอให้ชุมนุมโดยสันติ คำว่าสันติไม่ใช่เฉพาะแต่ในเรื่องไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง แต่การกล่าวด้วยความอาฆาตมาดร้าย ด่าหยาบคาย ตนคิดว่าไม่เคยเกิดในสังคมไทย ฉะนั้น ขอร้องสื่อช่วยกันหยุดเสียบ้าง ไม่ได้หมายความว่าให้หยุดให้ข่าวเพียงแต่ต้องเตือนบ้าง ไม่ใช่เสนอให้เกิดข่าวไปเรื่อยๆ เปิดเวทีให้เรื่อยๆ คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้บ้านเมืองสับสนอลหม่านไปทั้งหมด ตนไม่อยากให้ใครมาใช้ประโยชน์ในช่วงนี้ที่ประชาชนยังมีความอ่อนไหว การที่เรามาพูดถึงอนาคต คิดว่าเอาวันนี้ให้ผ่านก่อน ว่าเราจะเดินหน้าของเราอย่างไร

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ทุกคนเอาแต่ละอันมาเชื่อมโยงไปหมด ท้ายที่สุดรัฐบาลไม่ดี ตนถามว่ารัฐบาลที่ดีควรจะทำอย่างไร ท่านต้องไปหามาให้ผม อย่างข้อเรียกร้องทุกคนจบมาต้องมีงานทำเงินเดือนๆ ละ 5 หมื่นบาท มีที่ไหนทำได้ อันที่สองผ่อนรถให้ทุกคน อันที่สามเก็บภาษีเฉพาะคนรวย สิ่งเหล่านี้มันไม่มีความเป็นไปได้ในข้อเท็จจริง ดังนั้น ขอฝากไปถึงบรรดาสถานศึกษาครู อาจารย์ แม้กระทั่งนักการเมือง ที่มีความคิดต่างออกไป ในช่วงที่ผ่านมา ตนใช้อำนาจนายกฯ ให้น้อยที่สุด วันนี้ก็ใช้ในกรอบของการบริหารราชการแผ่นดินปกติ สิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคนตนยอมรับ แต่การที่ก้าวล่วงคนอื่นมันเหมาะสมหรือไม่ สังคมไทยต้องไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม นายกฯ ยังได้กล่าวถึงกรณีโรงพยาบาลรามาธิบดี รายงานว่าพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ ที่ครบกำหนดกักตัว -4 วันในสถานกักกันของรัฐ แล้วนั้น ตนถึงบอกว่าต้องระมัดระวังการที่มีประชาชนจำนวนมาก ที่ผ่านมามีการชุมนุมน้อยๆก็พอจะไว้วางใจได้บ้าง พอมากขึ้นๆแล้วจะทำอย่างไรถ้าไม่มีมาตรการคัดกรอง หลายคนอาจจะยังมีเชื้ออยู่แต่ยังออกมาแพร่ ยังไม่ออกมาในที่ชุมนุม เราไม่สามารถจะตรวจคนทั้งประเทศได้อยู่แล้ว ฉะนั้น เราต้องป้อกันตัวเองด้วย โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ภูมิต้านทานค่อนข้างต่ำ ไม่เหมือนผู้ใหญ่ ขอให้ระมัดระวังตรงนี้ด้วย ตนไม่ได้ขู่อย่างที่หลายคนบอกว่าออกมาขู่ด้วยกฎหมาย ขู่ด้วยโควิด-19 ตนพูดในข้อเท็จจริง ตีความกันถูกหน่อย