'จตุพร' เตือนผู้มีอำนาจ มี 2 ทางให้เลือก คิดเอาเอง!!

'จตุพร' เตือนผู้มีอำนาจ มี 2 ทางให้เลือก คิดเอาเอง!!

"จตุพร" เตือนผู้มีอำนาจต้องการดับไฟลามทุ่ง หรืออยากโหมเชื้อเติมไฟให้ลุกโชนไปกว่านี้ ขอให้คิดหาแนวทางเอง เชื่อชูสามนิ้ว-ผูกโบว์ขาวเป็นปรากฏการณ์คาดไม่ถึง ขออย่าใช้อำนาจมองเป็นศัตรู

วันที่ 18 ส.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk โดยระบุถึงสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ที่ลุกลามดังไฟลามทุ่งว่า ผู้มีอำนาจมีแนวทางว่าต้องการแก้ปัญหาดับไฟ หรืออยากให้เกิดเรื่องบานปลายมากไปกว่านี้ ขอให้คิดดูเอาเองแล้วกัน

 

นายจตุพร กล่าวว่า ธรรมชาติของไฟที่ดับอยากที่สุดคือ ไฟไหม้ใต้ดิน และเหตุการณ์การเมืองขณะนี้เป็นเหมือนไฟใต้ดินปะทุขึ้น ซึ่งลุกโหมจากพื้นที่มหาวิทยาลัยขยายไปถึงโรงเรียนต่างๆ แล้วลามออกไปกว้างขวางจนยากจะดับได้อย่างยิ่ง

 

โดยเฉพาะการชูสามนิ้วของนักเรียนขณะเข้าแถวร้องเพลงชาติ เป็นปรากฏการณ์ที่ใครก็คาดไม่ถึง แต่ผู้บริหารโรงเรียนและรัฐมนตรีศึกษากลับไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่บอกให้จับนักเรียนในโรงเรียนได้ถ้าทำผิด เหมือนเป็นการยั่วยุ จนถูกนักเรียนตอบโต้ชุมนุมขับไล่ทันที

 

 

อีกอย่างการสื่อสารในปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวสามารถถ่ายรูป อัดคลิปเผยแพร่ให้คนทั้งโลกรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นจะใช้หลักคิดในอดีตแบบเดิมมาจัดการปัญหาไม่ได้ แต่ควรให้ความสำคัญกับแนวทางการมองไปเบื้องหน้า อย่าเอาแต่หาเบื้องหลัง หากมองว่าการชูสามนิ้ว ผูกโบว์ขาวเป็นศัตรู ยิ่งทำให้ไปกันใหญ่

 

"สถานการณ์ในวันนี้ต้องยอมรับว่า ความตื่นตัวทางการเมืองลงไปถึงเยาวชนแล้ว ตนย้ำเสมอว่าในทางการเมืองใครต้องการได้ทุกอย่างนั้นคิดผิด แต่สิ่งที่ถูกคือต้องมีการสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์บางอย่างบ้าง ดังนั้นรัฐบาลต้องแสดงความจริงใจในการแก้ไขรธน. หากบิดพลิ้ว ยื้อถ่วงเวลาจะนำไปสู่เหตุการณ์อื่นๆได้ เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์เป็นเหมือนไฟลามทุ่งแล้ว"

 

สิ่งสำคัญ การแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นจริง กระทรวงศึกษาต้องใช้หลักความเข้าใจ เพราะยุคสมัยแตกต่างกัน รวมทั้งแต่ละฝ่ายต้องใช้สมาธิมากกว่าความรู้สึก ส่วนการข่าวนั้นต้องรายงานความจริง อย่ารายงานเฉพาะข่าวดีที่ผู้มีอำนาจต้องการจะฟังเท่านั้น

 

"วันนี้นักเรียนลุกขึ้นมาชูสามนิ้ว ผูกโบว์ขาว ควรปล่อยให้เป็นสิทธิเสรีภาพ ไม่ควรมองในเชิงจะใช้อำนาจเข้าจัดการ เพราะจะเกิดการถลำลึก แล้วเกิดความสูญเสีย การแก้ปัญหาต้องมองคนหนุ่มสาวเป็นลูกหลาน มองเข้าไปถึงเบื้องลึกความต้องการ ไม่ใช่ยุยงให้เจ้าหน้าที่จัดการปัญหา"

 

นายจตุพร กล่าวอีกว่า เมื่อคนหนุ่มสาวมีความชัดเจนกับข้อเรียกร้อง 3 ข้อ 2 จุดยืน 1 ความฝันแล้ว นั้นเป็นความต้องการที่ไม่กระทบกระเทือนต่อสถาบันเบื้องสูง รัฐบาลจึงควรพิจารณาความต้องการของเยาวชนอย่างเข้าใจ

 

อีกอย่างเวลาไม่คอยท่ากับสถานการณ์ขณะนี้ ตนขอให้มองพลังคนหนุ่มสาวและเยาวชนแบบบวก อย่าเอาแต่คิดลบ และสิ่งสำคัญอย่ามองว่า นักศึกษา นักเรียนลุกขึ้นมาเรียกร้องเป็นศัตรู ถ้ามองเช่นนี้ ปรากฏการณ์ชูสามนิ้ว โบว์ขาวจะเต็มแผ่นดิน เพราะยิ่งขัดขวางจะเกิดแรงกระเพื่อมขยายตัวไปมากมาย

 

 

ดังนั้นในสถานการณ์เกิดไฟลามทุ่งนั้น ผู้มีอำนาจทั้งหลายควรยอมรับความจริงและอย่าคิดเข้าข้างตัวเอง ส่วนคนรายงานข่าวต้องบอกด้านลบด้วย ถ้าบอกแต่ด้านดีจะประเมินสถานการณ์ผิดพลาดได้ ตนจึงหวังว่าหลักการในการต่อสู้ควรจบแบบสันติวิธี และเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติ 

นอกจากนี้ปรากฏการณ์ของนักเรียน กระทรวงศึกษาธิการต้องปรับตัว ถ้าไม่ปรับตัวตนว่าไม่ถึงเวลานัดหมายชุมนุมครั้งใหม่แน่ เพราะสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายตามลำดับ อีกทั้งต้องยอมรับความจริงว่า ชูสามนิ้วที่อำเภอเบตงทางใต้ หรือพื้นที่อื่นใดก็ตาม ได้เห็นกันทั้งโลกแล้ว เนื่องจากเป็นการสื่อสารยุคใหม่

 

"สิ่งสำคัญเป็นเรื่องทายท้าและสปิริตของผู้มีอำนาจ คนเป็นผู้ใหญ่ว่า มองปัญหาเยาวชน เห็นความต้องการของเขา และได้แก้ไขตามข้อเรียกร้องด้วยความยินดี ชื่นชม อย่าคิดเป็นความโกรธที่ถูกทายท้า แต่นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย"

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนหนุ่มสาวร้องขอคือ การแก้ รธน.นั้น เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจประกาศว่าจะทำอยู่แล้ว รวมทั้งทุกฝ่ายเกี่ยวข้อง ทั้งพรรคการเมืองจะทำเช่นกัน เพียงแต่ว่าจะทำตามที่ประกาศไว้ หรือจะผิดคำพูด

 

"ถ้าผิดคำพูด สถานการณ์ไม่แตกต่างจากปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในอดีตช่วงเหตุการณ์พฤษภา 2535 เพราะบางเรื่องสมควรจบ แต่ไม่จบตามที่เคยประกาศกันไว้ ดังนั้นสถานการณ์ขณะนี้เป็นห้วงเวลาที่สำคัญ จึงหวังกันว่าทุกอย่างแก้ไขได้ ถ้าต้องการจะแก้ไข ทุกอย่างมีเรื่องได้ ถ้าต้องการจะมีเรื่อง ปัญหาว่าต้องการจะมีเรื่องหรือต้องการแก้ไข คิดกันเอาเองแล้วกัน"