'หุ้นเทค' จริงหรือหลอก?

'หุ้นเทค' จริงหรือหลอก?

วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐอย่างรุนแรง แต่ "หุ้นเทคโนโลยี" กลับไม่ได้รับปัจจัยลบ หลายคนกังวลว่าจะซ้ำรอยยุคด็อทคอมบูมหรือไม่? ที่หุ้นของบริษัทอินเทอร์เน็ตพุ่งขึ้นไปเป็นร้อยเท่า และสุดท้ายฟองสบู่แตก ดังนั้นหุ้นนี้น่าลงทุนจริงหรือไม่?

นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลาดหุ้นสหรัฐปักหัวลงอย่างรุนแรงชั่วขณะ เช่นเดียวกับหุ้นทั่วโลก ทว่าหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบในทางลบ แต่กลับพุ่งกระฉูด ดึงดูดความสนใจของนักลงทุน คือ “หุ้นเทคโนโลยี” หรือ tech stock นำโดย “ยักษ์ใหญ่ทั้งห้า” ได้แก่ Alphabet, Amazon, Apple, Microsoft และ Facebook

ในอีกด้านหนึ่ง หลายคนก็เตือนว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่ปัจจุบันอาจซ้ำรอยยุค “ด็อทคอมบูม” ช่วงปลายทศวรรษ 90 ที่หุ้นของบริษัทอินเทอร์เน็ตราคาวิ่งกันอุตลุต บางบริษัทหุ้นพุ่งขึ้นไปเป็นร้อยเท่า ทั้งที่ธุรกิจยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ยังไม่มีกำไร

และสุดท้ายฟองสบู่ก็แตกออก ทำเอานักเก็งกำไรเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันไป หลายคนถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวเลยก็มี

อย่างไรก็ตาม หากเราพิจารณาให้ดี จะพบว่าปัจจัยต่างๆ ในครั้งนี้แตกต่างจากเมื่อสองทศวรรษที่แล้วค่อนข้างมาก เพราะราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ หรือ “tech giant” ทั้งหลาย สูงขึ้นโดยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับอยู่ค่อนข้างมาก

ในรอบ 12 เดือนก่อนโควิด-19 จะเข้าสหรัฐ tech giant ทั้งห้าทำเงินสดรวมกันได้ถึง 178,000 ล้านเหรียญ หรือ 5.7 ล้านล้านบาท ย้ำอีกครั้งว่า “เงินสด” ไม่ใช่แค่ตัวเลขกำไร ซึ่งเทียบกันไม่ได้เลยกับบริษัทอินเทอร์เน็ตเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ที่จำนวนมากมีแต่เว็บไซต์ ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ตัวอย่างเช่น ผลประกอบการของ Apple ในไตรมาส 3 พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วถึง 11% แม้จะเจอวิกฤติโคโรน่าไวรัสอย่างรุนแรง ทำให้ต้องปิดสาขา Apple Store ไปมากมายทั้งในสหรัฐและในจีน

ขณะที่ยักษ์ใหญ่อีกรายอย่าง Amazon ประกาศรายได้ออกมาสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 88,900 ล้านเหรียญ ด้าน Facebook รายได้เพิ่มขึ้นถึง 11% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากทราฟฟิกที่เพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของโรค

แม้กระนั้น ประเด็นที่ต้องระวังก็คือ tech stock เป็นหุ้นประเภทที่ประเมินมูลค่าได้ยากมาก ด้วยธรรมชาติของธุรกิจที่ต้องเน้นสร้างฐานลูกค้าก่อนแล้วค่อยทำกำไรทีหลัง หรือใช้ไอเดียเป็นตัวทะลุทะลวง แล้วค่อยหากลจักรในการทำกำไรเอาดาบหน้า นั่นแปลว่าเราไม่สามารถใช้ค่า P/E ตามกรอบคิดเดิมๆ มาวัดความถูกแพงของมันได้เลย

อีกอย่างที่ต้องระวังก็คือ ไม่ใช่หุ้นเทคทุกตัวจะ “รุ่ง” เสมอไป อาทิ WeWork ที่กำลังประสบปัญหาหนัก หรือแม้แต่ Uber ที่เป็นธุรกิจเปลี่ยนโลก แต่ทุกวันนี้ยังไม่รู้จักคำว่า “กำไร” เอาเฉพาะไตรมาสแรกของปี 2020 ก็ขาดทุนปาเข้าไปถึง 2,900 ล้านเหรียญ

โดยสรุป tech stock ทุกวันนี้ไม่ได้มีสภาพเป็นฟองสบู่เหมือนเมื่อยุคด็อทคอมบูม แต่ในทางตรงข้าม ก็ไม่ได้การันตีว่าเข้าไปลงทุนแล้วจะรวย เพราะถ้าเลือกผิดก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวได้เหมือนกัน