ลงทุนยาวแบบ ‘เสี่ยงต่ำ’

ลงทุนยาวแบบ ‘เสี่ยงต่ำ’

ในยุคที่เศรษฐกิจและการลงทุนมีความไม่แน่นอนสูง ‘สามปีดี สี่ปีร้าย’ ทำให้การสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงต่ำทั่วโลก ทำให้ทางเลือกในการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีเป็นสิ่งที่ยากมากขึ้น

สำหรับนักลงทุนที่ไม่ค่อยชอบความเสี่ยง การกระจายพอร์ตลงทุนถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะช่วยผลตอบแทนจากการลงทุนมีความผันผวนลดลง ในขณะเดียวกันก็ควรจะคาดหวังผลตอบแทนที่ดีในระดับที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อในระยะยาวได้ ซึ่งทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจของการลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์เช่นนี้ คือ กองทุนเปิด เค แพลน 3 (K-PLAN3)

กองทุนเปิด K-PLAN3 เน้นกระจายการลงทุนทั้งในตราสารหนี้ และตราสารทุน รวมถึงเงินฝาก โดยจะลงทุนในตราสารทุนไม่เกิน 55% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนสามารถกระจายไปลงทุนต่างประเทศไม่เกิน 30% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และป้องกันความเสี่ยงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนไม่ต่ำกว่า 90% และอาจจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน (Efficient Portfolio Management)

ด้วยนโยบายการลงทุนในลักษณะนี้ทำให้กองทุน K-PLAN3 จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนไปทางสูง หรือระดับ 5 จากทั้งหมด 9 ระดับ ส่งผลให้ความผันผวนของผลประกอบการอยู่ที่เพียง 8.4% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนของกองทุนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 5.43% สำหรับช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ผลตอบแทนช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2558 อยู่ที่ -0.79% ปี 2559 ทำได้ 12.18% ปี 2560 ทำได้ 9.84% ปี 2561 ทำได้ -6.28% และปี 2562 ทำได้ 3.82% ส่วนผลตอบแทนปีนี้อยู่ที่ -3.23% นอกจากนี้ หากพิจารณาผลตอบแทนรายปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีเพียง 3 ปีที่ผลตอบแทนของกองทุนติดลบ โดยติดลบมากสุดในปี 2561 ที่ 6.28%

พอร์ตการลงทุนของกองทุนในปัจจุบัน (ณ 30 มิ.ย. 2563) โดยภาพรวมแบ่งเป็นหุ้น 40.37% หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน 24.25% พันธบัตรรัฐบาล 14.43% หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันประเภทบริการทางการเงิน 6.27% เงินฝาก 2.39% และอื่นๆ 2.33%

หากพิจารณาในรายละเอียดโดยแบ่งเป็นตราสารทุนและตราสารหนี้ สำหรับตราสารทุนที่กองทุนนำเงินไปลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กองทุนเปิดเค โกลบอล อิควิตี้ พาสซีฟ 5.2% บมจ.ปตท. (PTT) 4.06% บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) 2.59% กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นจีน 2.51% และกองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A ชนิดจ่ายปันผล 2.25%

ขณะที่ตราสารหนี้ที่บริษัทนำเงินไปลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล 9.24% พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 4.52% หุ้นกู้ของ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) 3.91% หุ้นกู้ของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ (TBEV) 2.93% และหุ้นกู้ของ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) 2.72%

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กองทุนยังทำได้ไม่ดีนักคือ ผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนเมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัด โดยผลตอบแทนของกองทุนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 5.82% ต่อปี ขณะที่ตัวชี้วัดอยู่ที่ 6.69% ขณะที่ความผันผวนของกองทุนอยู่ที่ 8.85% มากกว่าตัวชี้วัดที่ 7.88%

ด้านค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวมของกองทุนในปัจจุบันเรียกเก็บจริงอยู่ที่ 1.22% โดยหลักเป็นค่าการจัดการ 1.07% ของ NAV

แม้ผลตอบแทนของ K-PLAN3 อาจจะไม่ได้โดดเด่นเท่ากับผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นที่ราว 10-12% แต่สิ่งที่แลกมาคือ ความผันผวนของผลตอบแทนที่ต่ำกว่า จากการกระจายการลงทุนทั้งในตราสารหนี้และตราสารทุน รวมถึงกระจายการลงทุนไปต่างประเทศบางส่วน ซึ่งการลงทุนในลักษณะนี้น่าจะเหมาะกับนักลงทุนที่มองหาแหล่งลงทุนที่เปรียบเสมือนการออมเงินในระยะยาวโดยที่ยังสามารถรักษามูลค่าของเงินให้ชนะเงินเฟ้อได้