โลก 'อินเทอร์เน็ต' อาจมี 2 ขั้ว 'อเมริกา และจีน'

โลก 'อินเทอร์เน็ต' อาจมี 2 ขั้ว 'อเมริกา และจีน'

อนาคตเราอาจต้องอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีสองโลกที่ไม่เชื่อมต่อกัน  แบ่งฝ่ายแยกขั้วโดย 2 ชาติมหาอำนาจ ทั้งฝั่งสหรัฐและจีน สะท้อนจากภาพปัจจุบันที่เริ่มเห็นการแบนแอพพลิเคชั่นชื่อดังของจีนในสหรัฐ ซึ่งจะก่อเป็นสงครามเย็นครั้งใหม่หรือไม่?

อีริค ชมิดท์ อดีตผู้บริหารสูงสุดกูเกิล พยากรณ์ปี 2561 ไว้ว่า ทศวรรษหน้าจะมีอินเทอร์เน็ตสองค่ายที่แยกจากกัน และไม่ส่งข้อมูลระหว่างกัน ค่ายหนึ่งนำโดย “สหรัฐอเมริกา” และอีกค่ายหนึ่งนำโดย "จีน" ภาพนี้เราเห็นเค้าลางมาพักใหญ่จากที่บางประเทศ เช่น จีน แบนแอพพลิเคชั่นและโซเชียลมีเดียของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกูเกิล และเฟซบุ๊คทั้งพัฒนาแอพและโซเชียลมีเดียตัวเอง คือ ไป่ตู้ (Baidu) และวีแชท (WeChat) ส่วนสหรัฐแบนเทคโนโลยีด้าน 5จี จากบริษัทหัวเว่ยของจีน

กระแสแบนแอพพลิเคชั่นจากจีนเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอินเดีย ความสัมพันธ์จีนและอินเดียเสื่อมถอย สังคมออนไลน์อินเดียเรียกร้องให้คว่ำบาตรสินค้าจีน รัฐบาลอินเดียสั่งแบนแอพพลิเคชั่นจากจีน 59 แอพ รวมถึงติกตอก โดยอ้างภัยคุกคามต่ออธิปไตย ความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของประชาชน

การแบนแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ มีผลมากกว่าแค่การใช้งานในโซเชียล เช่น วีแชท ไม่ใช่แค่แอพพลิเคชั่นสำหรับส่ง แต่เป็นซูเปอร์ แอพพลิเคชั่นที่เชื่อมต่อระหว่างคนจีนที่อยู่ในอเมริกาและประเทศจีน เพราะมีทั้งธนาคาร ระบบจ่ายเงิน ขณะที่แอพพลิเคชั่นส่งข้อความอื่นอย่าง ไลน์ วอทส์แอพ เฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ต่างถูกแบนในจีนทำให้อนาคตส่งข้อความออนไลน์สองประเทศนี้อาจลำบากขึ้นหากวีแชทถูกแบน

ผลกระทบแบนแอพพลิเคชั่นและเทคโนโลยีต่างๆ ของหลายประเทศ ตอกย้ำว่าอนาคตเราอาจต้องอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีสองโลกที่ไม่เชื่อมต่อกัน แบ่งฝ่ายแยกขั้วโดย 2 ชาติมหาอำนาจ เหมือนยุคสงครามเย็นที่มีค่ายทุนนิยมและสังคมนิยม และไทยต้องเลือกรักษาสมดุลให้ดี ยุคสงครามเย็นที่ผ่านมาเราอาจเลือกข้างทุนนิยมในช่วงสงครามอินโดจีน แต่ด้วยความสามารถทางการทูตของเราทำให้สามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี

สงครามเย็นครั้งใหม่นี้ ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไร สหรัฐอเมริกาเดิมเป็นผู้ผูกขาดตลาดเทคโนโลยีโลก ไทยเองไม่ได้เป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีสารสนเทศ ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของไทยส่วนใหญ่อยู่ในค่ายที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ เช่น การใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ส่วนใหญ่ก็เป็นของบริษัทสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับแอพพลิเคชั่นโซเชียลมีเดียอย่าง เฟซบุ๊ค กูเกิล ยูทูบ ทวิตเตอร์ หรืออินสตาแกรม รวมถึงใช้บริการพับลิกคลาวด์ ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้ผู้ให้บริการของบริษัทสหรัฐอเมริกาและมีข้อมูลอยู่ต่างประเทศ

หากพิจารณาเหตุผลที่สหรัฐอเมริกาแบนแอพพลิเคชั่นจากจีน ที่อ้างเรื่องความมั่นคงปลอดภัยโดยไม่อยากให้ข้อมูลออกนอกประเทศ และควบคุมโดยบริษัทต่างชาติ ซึ่งไทยจะพบปัญหาคล้ายกัน ว่าการใช้เทคโนโลยีถูกผูกขาดโดยค่ายที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำข้อมูลและการทำงานของแอพพลิเคชันต่างๆ เราจะถูกควบคุมโดยค่ายเดียว เสี่ยงต่อความมั่นคง

ดังนั้น เราจำเป็นต้องจัดนโยบายการใช้เทคโนโลยีในอนาคตให้ดี ให้เรามีทางเลือก หรืออาจต้องพิจารณาใช้เทคโนโลยีของอีกค่าย เพื่อให้สามารถต่อรองหรือสามารถติดต่อสื่อสารกับอินเทอร์เน็ตอีกค่ายหนึ่งได้ สำคัญสุดในอนาคตการแข่งขันเป็นเรื่องเทคโนโลยี เราต้องพัฒนาเทคโนโลยีอย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ข้อมูลหลายอย่างอยู่ภายในบ้านเรามากกว่าปล่อยให้ไปเก็บไว้ในต่างประเทศของค่ายใดค่ายหนึ่ง