ซื้อ 'ทอง' ตอนนี้ ดีหรือไม่?

ซื้อ 'ทอง' ตอนนี้ ดีหรือไม่?

จากสถานการณ์ "ราคาทองคำ" ที่ผันผวนหนัก ปรับขึ้นไปจนทะลุ 3 หมื่นบาท และปรับตัวลงมานั้น สำหรับนักลงทุนและบุคคลทั่วไป เกิดประเด็นคำถามว่าในช่วงเวลาแบบนี้เหมาะหรือไม่หากจะซื้อทองคำ?

หลังจากราคาทองคำได้วิ่งยาวเหยียด จาก 22,000 บาท (ทองแท่ง) เมื่อต้นปี กระทั่งขึ้นไปเกิน 30,000 บาท เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน

มาในสัปดาห์นี้ก็เริ่มปรับตัวลง และยิ่งเมื่อมีข่าวว่ารัสเซียสามารถพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ได้เร็วเกินคาดคิด จึงทำให้นักลงทุนทั่วโลก พลิกมุมคิดชั่วขณะว่า วิกฤติโควิดกำลังจะแก้ไขได้ในอีกไม่นาน และเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ก็จะฟื้นกลับมา จึงเป็นประเด็นหลักที่เกิดการขายทองคำอย่างรวดเร็วและรุนแรง ราคาในไทยร่วงลงมาที่ 27,600 บาท ก่อนจะฟื้นกลับมาที่ 28,400 บาท

ในฐานะนักวิเคราะห์การลงทุนที่เคยแนะนำคุณผู้อ่านให้แบ่งพอร์ตการลงทุนไปที่ทองคำเมื่อต้นปี วันนี้ผมขอให้มุมคิดเกี่ยวกับการลงทุนทองคำเพิ่มเติมตามนี้ครับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

   

ตามรายงานข่าวที่ตามมา ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับวัคซีนดังกล่าวของรัสเซีย เนื่องจากใช้เวลาทดลองทางคลินิกกับมนุษย์ไม่ถึง 2 เดือน และยังไม่มีการทดลองในเฟส 3 ขณะที่การทดลองทางคลินิกประสบความสำเร็จเพียง 10% ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องติดตามต่อไป หากประสิทธิภาพยังไม่ดีพอ วิกฤติโควิดก็อาจจะยืดยาวออกไปได้

ด้วยความไม่ค่อยชัดเจนเรื่องผลลัพธ์ของวัคซีน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ราคาทองคำอาจจะไม่กล้าขึ้นไปใกล้จุดสูงสุด 2,070 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือ 30,000 บาทต่อบาททอง แต่ก็คงไม่ลงต่ำไปกว่าที่ 27,000 บาทจนถึง 25,500 (ถ้ามี) น่าจะเป็นโอกาสสะสมของผู้ที่ยังไม่ได้ซื้อทอง แต่สำหรับคนที่มีของเรา อยากทำกำไรมั่ง ก็น่าจะดักแถว 29,000 บาท แค่บางส่วนนะครับ

ราคาทองระยะยาวจะยังคงสูงขึ้นได้ หากเศรษฐกิจกิจโลกยังอ่อนแอ ซึ่งจนถึงขณะนี้ แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวบ้าง แต่ยังคงอยู่ในระดับที่อ่อนแอเปราะบาง

สำหรับรายบุคคลแล้ว ผมเห็นว่า ทองคำเป็นของที่ต้องมีสำหรับการเก็บออม ทั้งนี้เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่สดใส แม้จะมีการฟื้นตัวในปีหน้า แต่ก็เป็นเพียงการฟื้นจากระดับที่เป็นหลุมลึกของปีนี้ ซึ่งทำให้การลงทุนในทองคำยังสามารถแย่งชิงเม็ดเงินลงทุนในโลกได้อีกระยะหนึ่ง เหมือนช่วงการฟื้นตัวหลังวิกฤติ 2008 ราคาทองคำยังคงขึ้นได้อีกหลายปี ในขณะที่หากวิกฤติโควิดยังยืดเยื้อยาวนาน ทองคำก็จะได้รับความสนใจต่อไป

ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่เหมือนการทำประกันฐานะการเงินไม่ให้ทรุดต่ำลงหากเกิดปัญหาไม่คาดคิดกับระบบเศรษฐกิจ ปัญหาระบบการเงินการคลัง หรือความขัดแย้งในสังคม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับประเทศใด ค่าเงินประเทศนั้นๆ ก็จะลดต่ำลง ยกตัวอย่างเช่น ค่าเงินเทียบกับดอลลาร์ ลดจาก 100 หน่วยต่อ 1 ดอลลาร์ ไปเป็น 120 หน่วย กรณีนี้ หากเรามีทองคำในมือ ราคาทองคำในประเทศก็จะสูงขึ้นไปประมาณ 20% เท่ากับค่าเงินที่ลดลงไป ซึ่งก็เหมือนการป้องกันฐานะให้เราได้ เราจึงควรมีทองคำไว้ส่วนหนึ่งของการออม

ในระหว่างนี้ไปจนถึงพฤศจิกายน เรื่องระดับโลกที่ต้องจับตามอง คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ คุณทรัมป์อาจต้องกำลังแสดงบทบาทแรงๆ เรียกคะแนนจากฐานแฟนคลับ การแสดงท่าทีทำสงครามการค้า หรือความตึงเครียดข้ามชาติ อาจทำคะแนนให้ทรัมป์ได้ ซึ่งถ้ามีประเด็นด้านนี้ขึ้นมา ก็คงเป็นจังหวะของทองคำเช่นเคย

กรณีหากคุณไบเดนชนะเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐอาจพบกับผลกระทบจากกรณีนโยบายขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ทองคำน่าจะได้ผลบวกกลับมาครับ

การลงทุนทองคำนั้น ควรจะเป็นซื้อเเบบทยอยเก็บ กระจายเวลาและราคา หรือตามภาษาคนในวงการหุ้นคือ DCA ทั้งนี้เนื่องจาก ราคาทองคำระยะสั้นคาดการณ์ยากสุดๆ มีความผันผวนสูง ถ้าซื้อโครมเดียวราคาเดียว แล้วผิดจังหวะกว่าจะฟื้นคืนได้ ต้องรอนานมาก ในขณะที่ การทยอยซื้อ จะได้ราคาเฉลี่ย เช่นเคยเข้าที่ 29,000 แล้วตกลงมาวันเดียวที่ 27,600 การเข้าซื้อ 2 ครั้งก็จะได้ราคา 28,300 บาท ซึ่งการรอราคาขึ้นก็จะไม่นานเกินไปครับ

ในมุมมองของผม การลงทุนทองแบบไม่ให้หัวใจเต้นลนลานเกินไป ควรซื้อตอนราคาลงมาสัก 5-10% ไม่ใช่ตอนวิ่งขึ้นเร็วๆ และควรทยอยเฉลี่ยด้วย จะได้ไม่พลาดไปเจอต้นทุนราคา Peak การเฉลี่ยนั้น หากจะพลาดก็จะไม่รุนแรง ไม่ถึงขั้นที่ว่า มีทองแค่หนวดกุ้ง แต่นอนสะดุ้งจนเรือนไหว เพราะไปซื้อที่ Peak พอดี