โบรกเชียร์เก็บหุ้นช่วง‘ปรับฐาน’

โบรกเชียร์เก็บหุ้นช่วง‘ปรับฐาน’

“หุ้นไทย” ดิ่งหนัก 20 จุด จากแรงขายทำกำไรหลังดัชนีพุ่งแรง “นักวิเคราะห์” ชี้ปรับฐานตามตลาดต่างประเทศ เหตุรอดูการเจรจาระหว่าง “สหรัฐ-จีน” พร้อมจับตาปัญหาการเมืองในประเทศ ประเมินแนวรับสำคัญ 1,300 จุด เผยเป็นโอกาสเลือกสะสมหุ้นผลดำเนินงานดีช่วงครึ่งหลัง

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ล่าสุด (14 ส.ค.) ปิดที่ 1,327.05 จุด ลดลง 19.64 จุด หรือ 1.46% หลังจากที่ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นมาราว 30 จุด ในช่วงสองวันทำการที่ผ่านมา ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,353.53 จุด  ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิวานนี้ 3,293 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันที่ขายสุทธิ 1,211 ล้านบาท

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า การปรับฐานของดัชนี SET เป็นไปตามทิศทางตลาดต่างประเทศในช่วงบ่ายวานนี้ ซึ่งตลาดหุ้นยุโรปเปิดติดลบ เช่นเดียวกันสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของตลาดหุ้นสหรัฐที่ติดลบเช่นกัน ขณะเดียวกันราคาหุ้นของไทยในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นโดดเด่น นำมาซึ่งแรงขายทำกำไรในวานนี้

“การปรับขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพราะนักลงทุนมองว่าหุ้นมูลค่าต่ำจะฟื้นตัวได้ดี จึงเกิดการสับเปลี่ยนกลุ่มลงทุน (Sector rotation) แต่อย่างที่เราประเมินไว้แล้วว่าแรงซื้อน่าจะเป็นเพียงชั่วคราว ภายหลังจากที่นักลงทุนในตลาดมีความหวังมากขึ้นต่อการพัฒนาวัคซีน”

หากพิจารณาการปรับตัวได้ต่ำกว่าตลาด (Underperform) ของหุ้นราคาถูกเมื่อเทียบกับหุ้นเติบโตทั่วโลกในปีนี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ระหว่างทางจะมีช่วงจังหวะที่หุ้นราคาถูกรีบาวด์กลับขึ้นมาให้เห็นเป็นระยะๆ เช่นเดียวกับครั้งนี้ ซึ่งการปรับฐานในครั้งนี้ มองว่าจะส่งผลดีต่อหุ้นขนาดกลางและเล็กซึ่งกำไรเติบโต สวนทางกับราคาหุ้นที่ลดลง

หลังจากงบการเงินทยอยประกาศออกมาก่อนหน้านี้ จะเริ่มเห็นว่าหุ้นตัวใดมีโอกาสเติบโตต่อได้ในครึ่งปีหลัง การปรับฐานในรอบนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเลือกซื้อหุ้น (Selective buy) โดยเฉพาะในหุ้นที่ราคาปรับลงมาแรงในรอบสัปดาห์นี้ และแนวโน้มกำไรเติบโตดี

ด้าน นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า การปรับฐานของตลาดหุ้นไทยล่าสุดนี้ โดยหลักเกิดจากปัจจัยภายนอก และการลดความเสี่ยงก่อนที่จะมีการพูดคุยกันระหว่างสหรัฐและจีนในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ขณะที่การเมืองในประเทศก็เป็นประเด็นที่ต้องติดตาม

นอกจากนี้ จะเห็นการสับเปลี่ยนกลุ่มลงทุนของนักลงทุนในตลาด ซึ่งก่อนหน้านี้หันไปเข้ากลุ่มที่ราคายังต่ำอยู่มาก และขายหุ้นที่ราคาปรับขึ้นแรงออกมา แต่ในช่วงสัปดาห์หน้านักลงทุนจะเริ่มเห็นแนวโน้มของกำไรแต่ละบริษัทจดทะเบียนที่ชัดเจนมากขึ้น หลังจากงบการเงินครึ่งปีแรกส่วนใหญ่ประกาศออกมาแล้ว

“ในสัปดาห์หน้าจะเริ่มเห็นพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวในช่วงครึ่งปีหลังชัดเจนมากขึ้น ราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อหุ้นที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกดี และน่าจะเติบโตต่อได้ แต่หากพิจารณาตลาดโดยภาพรวมน่าจะเป็นภาพของการแกว่งตัวออกข้าง ในกรอบ 1,300-1,350 จุด โดยกลยุทธ์แล้วแนะนำเลือกหุ้นเป็นรายตัว”

ด้าน บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) ระบุว่า ตลาดอยู่ในภาวะซึมลงจากแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ธนาคาร และพลังงาน อย่างไรก็ตามดัชนียังมีสิทธิดีดขึ้นมาใกล้ 1,350 จุดได้ โดยแรงซื้อที่เข้ามาพยุงกลับกลายเป็นกลุ่มที่ถูกขายก่อนหน้านี้ อย่างกลุ่มเกษตร ค้าปลีกเล็กไฟแนนซ์ และเครื่องดื่ม ภาพแบบนี้กำลังบ่งชี้ว่าตลาดกำลังขึ้นต่อไม่ไหว และต้องรอปัจจัยหนุนใหม่ๆ ขณะที่แรงกดดันหลักในช่วงบ่ายของวันทำการล่าสุดคือ การปรับฐานของดัชนีตลาดในภูมิภาค ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า และแรงขายกองทุน