โบรกชู ‘5 กลุ่ม’ เด่นรับวัคซีน แนะ ‘ซื้อ’ ถือยาวรอขายปีหน้า-ยก ‘ท่องเที่ยว’ รับอานิสงส์ชัดสุด

โบรกชู ‘5 กลุ่ม’ เด่นรับวัคซีน แนะ ‘ซื้อ’ ถือยาวรอขายปีหน้า-ยก ‘ท่องเที่ยว’ รับอานิสงส์ชัดสุด

“นักวิเคราะห์” เปิดโผกลุ่มหุ้นรับอานิสงส์ “วัคซีนโควิด” บล.กสิกรไทย ชู 5 กลุ่มเด่น “ท่องเที่ยว-พลังงาน-แบงก์-ยานยนต์-ห้าง” พร้อมเตือนระวังแรงขายในกลุ่มที่เคยได้ประโยชน์จากโควิดระบาด ด้าน บล.หยวนต้า ยก “ไมเนอร์-เซ็นทรัลรีเทล" เด่นสุด แนะเก็บเข้าพอร์ต

ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นราว 31 จุด แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ 1,353.53 จุด โดยได้แรงหนุนสำคัญจากความคืบหน้าในเรื่องการพัฒนาวัคซีนสำหรับโควิด-19 โดยเฉพาะหลังจากรายงานความสำเร็จวัคซีนของประเทศรัสเซีย ในช่วงเย็นวันอังคาร 11 ส.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ประกาศว่ากระทรวงสาธารณสุขรัสเซียได้ประกาศรับรองวัคซีนโควิด-19 เป็นประเทศแรกของโลกที่      จดทะเบียนวัคซีนและเริ่มใช้ 

ส่วนประเทศจีนได้ประกาศรับรองก่อนหน้านี้เช่นกัน แต่เป็นการใช้ในวงแคบ ขณะที่ ประเทศอื่นๆ อาทิ สหรัฐ, จีน, อังกฤษ และออสเตรเลีย การพัฒนามากสุดยังอยู่ในเฟส 3

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส ตั้งข้อสังเกตว่า ทุกๆ ครั้งที่มีประเด็นเกี่ยวกับวัคซีน จะเป็นกระแสเชิงบวกหนุนตลาดหุ้นโลกในระยะสั้น และเชื่อว่ากระแสจะยังหนุนต่อไปอีกระยะหนึ่ง 

ทั้งนี้หากยึดตามสากลของโลก เชื่อว่าช่วงเวลาพัฒนาวัคซีนยังคงอยู่ในกรอบเดิม หรือไม่ได้เร็วขึ้นกว่าเดิมที่มีการคาดกันก่อนหน้า คือ เร็วสุดเป็นช่วงต้นปี 2564 ถึงจะผ่านขั้นตอนรับรอง หากอ้างอิงมหาวิทยาลัย Oxford มีการทดลองฉีดแรก เดือน เม.ย. 2563 ปัจจุบันอยู่ในช่วงทดลองว่าหลังจากฉีดแล้ววัคซีนจะอยู่ในร่างกายเกิน 6 เดือนหรือไม่ ซึ่งจะครบ 6 เดือน ในเดือน ต.ค. 2563

อย่างไรก็ดี หากวัคซีนสามารถผลิตได้จริงหรือสามารถผลิตได้เร็วกว่ากำหนด กลุ่มหุ้นของไทยหลายๆ กลุ่มจะได้รับประโยชน์โดยตรง

นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หากพิจารณาจากภาพรวมตลาดในช่วง 2 วันที่ผ่านมา จะเห็นกลุ่มหุ้นหลักๆ ที่ปรับตัวขึ้นมา ซึ่งจะเป็นกลุ่มหุ้นชุดแรกๆ ที่จะปรับตัวขึ้นหากการผลิตวัคซีนยังมีพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่อง โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางตรง ได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวโดยตรง อย่างโรงแรม สปา สนามบิน

ถัดมาคือกลุ่มพลังงาน ซึ่งเริ่มโดดเด่นกว่าตลาด หลังจากที่ราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากความคาดหวังว่าความต้องการใช้จะเพิ่มสูงขึ้น ถัดมาคือกลุ่มการธนาคารและการเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรับตัวลดลงมาหนักก่อนหน้านี้ จากความกังวลในเรื่องของคุณภาพหนี้ ซึ่งมีโอกาสที่จะเห็นเอ็นพีแอลเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่หากมีวัคซีนแล้วความเสี่ยงในเรื่องนี้ก็จะลดลงไปด้วย 

ขณะที่กลุ่มวัฏจักรอย่างกลุ่มยานยนต์ เป็นอีกกลุ่มที่น่าจะตอบรับในเชิงบวก หลังจากที่ความต้องการซื้อลดลงไปมาก และกลุ่มสุดท้ายคือ หุ้นในกลุ่มโรงภาพยนตร์และห้างสรรพสินค้า น่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง

“ในบรรดาหุ้นข้างต้นนี้เป็นกลุ่มที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาแรงและยังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่มากนักก่อนหน้านี้ แม้ว่าราคาหุ้นในช่วง 2 วันที่ผ่านมาจะเริ่มรีบาวน์กลับมาได้บ้าง แต่ยังเป็นระดับที่เข้าซื้อได้เพื่อลงทุน และถือยาวไปรอขายปีหน้า ซึ่งการเลือกซื้อหุ้นเหล่านี้สามารถเลือกเป็นภาพรวมของกลุ่ม เพราะเชื่อว่าหุ้นเหล่านี้น่าจะได้อานิสงส์ในระดับใกล้เคียงกัน”

ในมุมกลับกัน หากวัคซีนสามารถผลิตได้สำเร็จ หุ้นที่ได้อานิสงส์จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อนหน้านี้ อาจจะถูกขายทำกำไรออกมา โดยกลุ่มหุ้นเหล่านี้อาจจะแบ่งเป็นสองส่วนหลัก คือ กลุ่มที่พื้นฐานดีชั่วคราว อาทิ ผู้ผลิตถุงมือยาง อย่าง บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT หรือกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันต่ำ อย่าง บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี หรือ PTG บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ หรือ TASCO และหุ้นบรรจุภัณฑ์

ส่วนกลุ่มที่พื้นฐานดีขึ้นและไม่ใช่แค่ชั่วคราว แต่อาจถูกขายทำกำไรออกมาบ้าง ถือเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ อาทิ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส หรือ JMT บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ หรือ BAM และบมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG

ด้านนายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า กลุ่มที่น่าจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการมาของวัคซีน กลุ่มแรก คือ กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม และการบิน ได้แก่ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป หรือ ERW บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT และบมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น หรือ AAV ถัดมาคือ กลุ่มห้างสรรพสินค้า อย่าง บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN และบมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ CRC

ถัดมาคือกลุ่มขนส่งมวลชน ได้แก่ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM และบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS ขณะที่กลุ่มสถานบันเทิงและสปา อย่าง บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป หรือ MAJOR และบมจ.สยามเวลเนสกรุ๊ป หรือ SPA ส่วนกลุ่มธนาคารจะได้รับประโยชน์ทางอ้อม หลังจากที่ราคาหุ้นถูกกดดันหนักจนราคาต่ำมาก โดยนักลงทุนน่าจะคลายความกังวลเรื่องเอ็นพีแอลไปได้

“ระดับราคาปัจจุบันของหุ้นเหล่านี้ยังสามารถถือเพื่อลงทุนได้ในระยะยาว โดยมองว่าหุ้นที่น่าจะโดดเด่นที่สุดคือ MINT และ CRC ซึ่งได้รับผลบวกโดยตรง แต่การสลับกลุ่มลงทุน (Sector rotation) อาจจะกระทบกับหุ้นบางส่วนที่ได้ประโยชน์ก่อนหน้านี้ อาทิ STGT หรือ JMT”

ทั้งนี้ หากประเมินดัชนีในแต่ละอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 13 ส.ค. ที่ผ่านมา จะเห็นว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ยังคงติดลบราว 15.38 จุด โดยหมวดธุรกิจที่ยังคงติดลบมากสุด คือ หมวดธนาคารพาณิชย์ ติดลบ 36% รองลงมาคือหมวดสื่อ ติดลบ 25% หมวดอสังหาริมทรัพย์ ติดลบ 24% หมวดขนส่ง ติดลบ 23% และหมวดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และรีท ติดลบ 22% ขณะที่หมวดอิเล็กทรอนิกส์และหมวดสินค้าเกษตร เป็นสองอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้นได้โดดเด่นที่สุดกว่า 50%