หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ลุ้นรับอานิสงส์เทรดวอร์ หนุนผู้ประกอบการย้ายฐานผลิตมาไทย นักวิเคราะห์คาดช่วยดันยอดคำสั่งซื้อในระยะยาว แต่มองราคาหุ้นช่วงสั้นแพงเกินไป หลังดัชนีกลุ่มวิ่งนิวไฮรอบ 3 ปี
หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์นับแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน เป็นกลุ่มที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างโดดเด่น โดยดัชนีกลุ่มปรับเพิ่มขึ้นถึง 55.71% เป็นรองเพียงกลุ่มสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น 61.72% โดยหลักกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาหุ้น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ที่เพิ่มขึ้นถึง 110.28% มาอยู่ที่ 112.50 บาท เมื่อ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา จนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท
ปัจจัยสำคัญที่หนุนให้หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ฟื้นตัวได้เร็วแม้จะปรับตัวลดลงไปตามภาวะตลาดในช่วงต้นปี คือ ผลกระทบที่ค่อนข้างจำกัดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ในไทยจะได้อานิสงส์เพิ่มเติมจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนด้วย
โดยรวมแล้วผลประกอบการของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในปีนี้น่าจะยังเติบโตได้จากปีก่อนเล็กน้อย โดยคาดรายได้รวมของกลุ่มเพิ่มขึ้นราว 5% เนื่องจากดีมานด์ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากนัก จะเป็นในส่วนของซัพพลายเชนที่ถูกกระทบมากกว่า ซึ่งโรงงานในไทยยังสามารถผลิตได้ตามยอดขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกที่ยังเติบโตได้
“เชื่อว่าผลประกอบการของกลุ่มอิเล็กฯ น่าจะโตได้ในปีนี้ และต่อเนื่องถึงปีหน้า ตามอุตสาหกรรมที่ยังคงเติบโตได้ และไม่ได้รับผลกระทบในแง่ของดีมานด์มากนัก ส่วนแรงหนุนจากการสงครามการค้า มองว่า SVI และ DELTA เป็นสองบริษัทที่น่าจะได้อานิสงส์มากสุด”
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เราแนะนำซื้อ KCE และ DELTA แต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาจนสะท้อนปัจจัยบวกไปครบแล้ว และเกินพื้นฐานที่ให้ไว้ จึงแนะนำนักลงทุนรอติดตามผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 ที่น่าจะรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ หากผลประกอบการไม่ได้ออกมาดีกว่าที่ประเมินไว้ แนะนำเพียงหาจังหวะเก็งกำไร หรือถือลงทุนเท่านั้น
ด้าน นายเอนกพงศ์ พุทธาภิบาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส เปิดเผยว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนดำเนินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ที่มีฐานการผลิตอยู่ในจีนเข้ามาเจรจากับบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของไทยอยู่บ้าง โดยเบื้องต้นเป็นการเจรจาเพื่อให้บริษัทในไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าบางส่วนแทนโรงงานในจีน
ส่วนโอกาสที่จะย้ายฐานการผลิตมาตั้งในประเทศไทยเลยนั้น คงต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมและตรวจสอบในเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น โครงสร้างพื้นฐาน สิทธิประโยชน์ แรงงาน เป็นต้น หากมีการย้ายฐานการผลิตมาตั้งในประเทศไทยจริง จะเป็นปัจจัยบวกในระยะยาวต่อหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของไทย
“สงครามการค้าที่ตึงเครียดมากขึ้น ทำให้ผู้ผลิตในจีนที่ส่งสินค้าไปสหรัฐต้องหาแหล่งผลิตอื่นเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และในปัจจุบันไทยก็ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการย้ายฐานการผลิต หากพิจารณาเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม ปัจจุบันไทยค่อนข้างจะได้เปรียบกว่า จากประสบการณ์ในการเป็นผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มานานกว่า 20 ปี ขณะที่แรงงานก็มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้มากกว่า”
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงถัดจากนี้ ภาพรวมในครึ่งปีหลังยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายตามภาวะเศรษฐกิจที่แย่ลง จะมีเพียงสินค้าในกลุ่มดาต้า เซ็นเตอร์ ที่ได้ประโยชน์จากวิกฤติในครั้งนี้ จากความต้องการใช้ที่มากขึ้นของภาคธุรกิจ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ คาดว่ารายได้รวมของบริษัทในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ 4 บริษัท ได้แก่ บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ หรือ KCE บมจ.ฮานาไมโครอิเล็คโทรนิคส หรือ HANA และบมจ.เอสวีไอ หรือ SVI ในปี 2563 น่าจะติดลบ 1.3% จากปีก่อน โดยหลักเป็นผลจากการปิดเมืองทั้งในไทยและต่างประเทศในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่ในปี 2564 คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของรายได้รวมของทั้ง 4 บริษัท เพิ่มขึ้น 8.1% จากปีนี้ จากฐานที่ต่ำและเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
“ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องจนเกินพื้นฐานในขณะนี้ ขณะเดียวกันสถานการณ์โรคระบาดและเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงยังให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มนี้น้อยกว่าตลาด แต่หากมองในระยะยาวเชื่อว่า DELTA น่าสนใจที่สุด จากการมีสัดส่วนของสินค้าในกลุ่มดาต้า เซ็นเตอร์ มากที่สุด”
นอกจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนแล้ว ในช่วงเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ยังมีความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับจีนอีกด้วย ซึ่งหากความขัดแย้งมีความตึงเครียดมากขึ้น ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการค้าขายระหว่างประเทศด้วยเช่นกัน
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า หากความขัดแย้งทางการค้าเกิดขึ้น อินเดียที่เคยนำเข้าสินค้ากลุ่ม IT รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ (รายใหญ่คือ Xiaomi) น่าจะขึ้นภาษีนำเข้าและหันไปนำเข้าจากประเทศอื่น เราคาดว่ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไทยอาจได้รับผลบวกบ้างแต่ไม่มาก (เพราะไทยไม่ได้ผลิตสินค้า IT ส่งออกไปอินเดียมาก) บริษัทที่น่าจะได้รับผลบวกคือ HANA ได้รับประโยชน์ในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ DELTA น่าจะได้รับประโยชน์ในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานด้านเทเลคอม และอาจมีเพิ่มในสินค้าที่ Delta (จีน) ส่งไปอินเดีย จะเปลี่ยนเป็น Delta (ไทย) ส่งออกไปอินเดียแทน