GULF โชว์กำไรไตรมาส 2/63 พุ่ง17.28%

GULF โชว์กำไรไตรมาส 2/63 พุ่ง17.28%

"กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์" รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 พุ่งขึ้นกว่า 17.28% มาอยู่ที่ระดับ1,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรเพียง 1,603 ล้านบาท เหตุกำไรจากการดำเนินงานปกติโตขึ้น-พร้อมรับรู้ผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ปี2563 มีกำไรสุทธิ 1,880 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17.28% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 1,603 ล้านบาท และพลิกจากขาดทุน 413 ล้านบาทในงวดไตรมาส 1/2563 เนื่องจากกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Core Profit) ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน รวมถึงผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

โดยบริษัทรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 1.76 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาส 2/2563 เทียบกับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทแข็งที่ค่าขึ้น 1.06 บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาส 2/2562 และเทียบกับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง 2.50 บาทต่อดอลลาร์ในงวดไตรมาส 1/2563 โดยผลกำไรดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการแปลงหนี้ระยะยาวสกุลดอลลาร์ของกลุ่มบริษัท จึงไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของกลุ่มบริษัทแต่อย่างใด

ขณะที่ส่วนรายได้จากการขายและให้บริการในดังกล่าวเพิ่มขึ้น 8.8% มาอยู่ที่ระดับ 7,773 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 7,144 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ยอดขายเต็มไตรมาสของโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 12 โครงการในกลุ่ม GMP เทียบกับ 11 โครงการในงวดไตรมาส 2/2562 โดยทั้ง 12 โครงการสามารถขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้สูงขึ้นถึง 14.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ฐานลูกค้า
อุตสาหกรรมยังเพิ่มขึ้นทั้งจากลูกค้าเดิมที่มีการขยายธุรกิจและจากลูกค้าใหม่ แม้ว่าปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาส2/2563 จะลดลง เนื่องจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ก็ตาม อย่างไรก็ตามความต้องการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมิ.ย.2563 เป็นต้นมา