'จตุพร' แนะรัฐอย่าช้า เร่งแก้รธน.ยุติม็อบบานปลาย

'จตุพร' แนะรัฐอย่าช้า เร่งแก้รธน.ยุติม็อบบานปลาย

“จตุพร”แนะรัฐอย่าช้า เร่งแก้รธน.ยุติม็อบบานปลาย เชื่อ 3 ข้อเรียกร้องยังมีพลัง แต่ตัดอำนาจ "ส.ว." คงทำไม่ได้

เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63  นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ PEACETALK โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายการเมืองรีบตัดสินใจแก้รัฐธรรมนูญก่อนที่จะสายเกินไป ทั้งนี้ ยังได้ระบุด้วยว่า ถ้าวันนี้ตัดสินใจไม่แก้รัฐธรรมนูญแล้ว อาจต้องเดินไปเผชิญกับทุกเหตุการณ์ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ถ้าตัดสินใจจะแก้ ก็ต้องแก้ทันที เพราะสถานการณ์ขณะนี้ไม่มีอะไรจะหยุดการขับเคลื่อนของประชาชนได้ นอกจากการแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าฝ่ายการเมือง คิดแต่เกมให้ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันแล้ว อาจไม่ทันกาล เพราะสถานการณ์ได้ไปไกลแล้ว อีกทั้งการไปสภาของ 2 กลุ่ม คือ ไปจัดกิจกรรมเรียกร้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และอีกกลุ่มไปแสดงออกเพื่อปกป้องสถาบัน ซึ่งเป็นการแสดงสิทธิหน้าที่โดยไม่เผชิญหน้ากัน ซึ่งเป็นเรื่องดีในสถานการณ์จำเฉพาะเท่านั้น เมื่อบรรยากาศแบบนี้จะแสดงออกเมื่อสถานการณ์ไม่รุนแรง แต่ถ้าอีกสถานการณ์หนึ่งอาจเป็นคนละอย่างกันและต้องยอมรับความจริงกันว่า การชุมนุมแฟลชม็อบของนักศึกษาได้ลุกลามไปทั่วแผ่นดินแล้วและเป็นปรากฎของคนหนุ่มสาวที่มาชุมนุมกันมากที่สุดในรอบกว่า 15 ปีที่ผ่านมา

"ผมยืนยันว่า ข้อเรียกร้อง 3 ข้อยังมีพลัง เพราะไม่ว่าฝ่ายได้ก็ตามต่างเห็นพ้องกันว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งแก้ใน มาตรา 256 ซึ่งไม่มีใครขัดข้อง แม้ ส.ว.แตกออกเป็นสองส่วน บางส่วนยังให้แก้ ส.ว.ลงมติเลือกนายกฯ และอีกส่วนต้องการให้ยึดตามออกประชามติไว้"

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อนายกฯ ตัดสินใจไม่ขัดข้องในการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาล ตนถามนักการเมืองว่า วันนี้เราต้องการอะไร การที่จะให้ประเทศผ่านพ้นโดยไม่นองเลือดก็คือ การต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ และต้องเด็ดเดียวว่า แก้มาตรา 256 เพื่อเอาอำนาจการแก้ไขมาอยู่ในอำนาจของประชาชน ด้วยการเลือก ส.ส.ร. ถ้าเริ่มด้วยการเสนอมาตราอื่นเข้ามาด้วย เช่นการตัดอำนาจเบ็ดเสร็จของ ส.ว.หรือการยกเลิก ส.ว.ไม่สามารถทำได้เลย ถ้าไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ เนื่องจากต้องใช้จำนวนเสียง ส.ว. หนึ่งในสามของ วุฒิสภาทั้งหมด ซึ่ง ส.ว.จึงยากที่จะโหวตเพื่อยุบตัวเอง

“ถ้านักการเมืองมั่นใจประชาชนแล้วต้องช่วยกันเปิดประตูให้ได้ก่อน ถ้าจะเข้าทางหน้าต่างไปด้วยแล้ว จะไม่ประสบความสำเร็จ แล้วจบลงที่การรัฐประหารอีก วันนี้การระบาดทางอารมณ์บวกกับความหิวโหยแล้ว เขาจะไปร่วมกับการแก้รัฐธรรมนูญและผูกปมอยู่ที่การยุบสภา การคุกคามไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก ผมพยายามเสนอประคับประคองกันมา ถ้าจะตัดสินใจต้องลงมือ” นายจตุพร กล่าว 

รวมทั้ง เรียกร้องว่า ฝ่ายการเมืองต้องตั้งหลักให้มั่นได้แล้ว ถามหัวใจตัวเองว่าต้องการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ เชื่อมั่นเสียงประชาชนหรือไม่  ถ้าไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว เกิดมีการยุบสภาแม้ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทน แต่จะไปแพ้เสียงข้างน้อยที่ไปบวกกับ ส.ว.ก็ชนะโหวตเลือกนายกฯวันยังค่ำ จากนั้นรัฐบาลจะถูกคว่ำด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างรวดเร็วที่สุด

การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย รัฐบาลได้เงื่อนเวลาในการตั้ง ส.ส.ร. ร่างรัฐธรรมนูญ แล้วทำประชามติ ดังนั้น ตนยังยืนยันว่า ต้องการความสำเร็จในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยแนวทางสันติวิธี และเป็นประตูเดียวให้ประเทศมีทางออกทุกอย่าง

การล่าช้าจะทำให้ จะสร้างปัญหามากมาย อย่าคิดว่าไปแก้เดือนพฤศจิกายนแล้วจะได้ เพราะสถานการณ์บ้านเมืองไม่เอื้อขนาดนั้น เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างพุ่งเข้ามารวมกัน จนยากจะรับมือกันได้ จึงขอให้อ่านกระดานให้ขาด ตัดสินใจแก้รัฐธรรมนูญอย่ารอเวลา แล้วจะได้กันทุกฝ่าย และประเทศได้มากที่สุด

วันนี้ ตนไม่ได้หดหัวอยู่ในกระดอง ยังเสนอหน้าออกมาพูด เพราะต้องการให้แต่ละฝ่ายใช้แนวทางสันติวิธีให้สุดทางกัน ถ้าพูดคุยกันทุกฝ่ายวิธีที่จะยุติปัญหาทั้งปวงจากข้อเรียกร้องต่างๆนั้น คือ การแก้ รัฐธรรมนูญที่ผูกกับยุบสภา

บางฝ่ายต้องการให้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งต้องแก้มาตรา 256 อยู่ดี ถ้าให้สองสภาไปเขียนรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่มีทางเป็นไปได้ ตนจึงเน้นให้เอาความสำเร็จ ให้ประชาชนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ คำว่ารัฐธรรมนูญฉบับประชาชนอีกฉบับจะอยู่ในหัวใจของประชาชน เพราะเชื่อว่ากติกาแบบนี้จะทำให้ได้คนมีศักยภาพมาแก้ปัญหาบ้านเมือง

“สถานการณ์ขณะนี้ใกล้เดินไปถึงจุดที่เต็มไปด้วยรูรั่ว ถ้านักการเมืองตกลงกันแก้รัฐธรรมนูญแล้วประกาศเป็นสัญญาประชาคมว่า ถ้าแก้มาตรา 256 เลือก ส.ส.ร. ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ แล้วถึงขั้นประกาศใช้ ก็ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน ผมเชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์ร้อนกลายเป็นเย็นได้”

ส่วนการขับเคลื่อนของนักศึกษานั้น นายจตุพร ย้ำว่า ต้องเป็นประเด็นสาธารณะด้านประชาธิปไตยภายใต้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งจะเป็นภูมิต้านทานอย่างแข็งแรงมาก ถ้าเกินเลยกว่านี้จะเป็นปัญหาโดยฉับพลัน และความเชื่อสองฝ่ายจะเกิดกระทบกัน แล้วไม่ได้แก้รัฐธรรมนูญ เพราะพังก่อน

“เวลาไม่คอยท่า เพราะสถานการณ์ไปไกล ถ้าเวลานี้คิดแต่ละฝ่ายต้องการรักษาระบบรัฐสภาไว้ซึ่งได้ประโยชน์ทุกฝ่าย จึงหวังว่า ฝ่ายค้าน รัฐบาลและวุฒิสภาให้คุยกันให้จบ และฟังข้อเรียกร้อง 3 ข้อที่ไม่ได้ขัดใจทุกฝ่ายเลย ดังนั้น การตัดสินใจช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจะทำให้เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอกับการเมืองไทย จึงอย่าปล่อยกระแสให้เลยเถิดไป เพราะหลายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น มาจากการปล่อยเวลา”