'พีทีทีจีซี' เฟ้นพันธมิตรใหม่ ร่วมทุนแผน 'ปิโตรฯสหรัฐ' คาดชัดเจนกลางปี64

'พีทีทีจีซี' เฟ้นพันธมิตรใหม่ ร่วมทุนแผน 'ปิโตรฯสหรัฐ' คาดชัดเจนกลางปี64

พีทีทีจีซี เผยยังเดินหน้าเจรจาหาพันธมิตรร่วมลงทุนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์สหรัฐ หลัง “แดลิม” จากเกาหลีใต้ถอดตัว คาดชัดเจนกลางปี 2564 มั่นใจพื้นที่ตั้งโครงการเหมาะสม

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี เปิดเผยว่า โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา แม้ว่า บริษัทฯจะเลื่อนการตัดสินใจลงทุนออกไปจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 และบริษัท Daelim Industrial Co., Ltd. (แดลิม) ผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้างและผลิตเคมีภัณฑ์ในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรในโครงการนี้ได้ตัดสินใจถอนการลงทุนในโครงการแล้วนั้น

ขณะนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าการเจรจากับผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมถือหุ้นในโครงการดังกล่าวประมาณ 2-3 ราย ซึ่งที่ผ่านมาพันธมิตรดังกล่าวก็อยากเข้าร่วมทุนแต่ยังไม่มีช่องทางเปิดให้ ดังนั้น เมื่อแดลิม ถอนตัวออกไป ก็ทำให้กลับมาเดินหน้าเจรจากันใหม่ คาดว่า จะมีความชัดเจนภายในกลางปี 2564

“บริษัท ไม่ล้มเลิกโครงการนี้แน่นอน และพันธมิตรใหม่ที่จะร่วมมือกันในโครงการนี้ ต้องมีความเข้าใจในธุรกิจนี้ ขณะที่สัดส่วนการถือหุ้นเบื้องต้นมอง 50:50 เพื่อให้มีความยืดหยุ่น และโครงการนี้ก็มีผู้สนใจจำนวนมาก เนื่องจากพื้นที่ตั้งใกล้แหล่งวัตถุดิบราคาถูก และพื้นที่ตั้งโครงการมีจำกัด รองรับลงทุนได้ 3 โครงการ”

159662333734

ทั้งนี้ การที่บริษัทฯตัดสินใจชะลอการลงทุนในโครงการนี้ เพื่อกลับมาทบทวนปัจจัยทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องใหม่ ก็เป็นผลสืบเนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย และคาดว่า ต้องใช้เวลา 1-2 ปี กว่ากลับมาฟื้นตัวได้ ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ บริษัทจะใช้สำหรับเตรียมความพร้อมต่างๆทั้งการเจรจาต่อรองผู้รับเหมาก่อสร้าง การจัดหาแหล่งเงินกู้ ควบคู่กับการเจรจาหาพันธมิตรใหม่ คาดว่าจะมีความชัดเจนในกลางปี 2564 และไม่น่าจะส่งผลให้โครงการต้องดีเลย์มากไปกว่านี้ ซึ่งตามแผนเดิมนั้น โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ จะแล้วเสร็จผลิตเชิงพาณิชย์ต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปี ดังนั้น เมื่อโครงการแล้วเสร็จฯ ก็คาดหวังว่า จะเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว

สำหรับโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ การจัดตั้งโครงการในสหรัฐ มีความเหมาะสม เพราะเป็นแหล่งผลิตปิโตรเคมีในราคาต่ำที่สุดในโลกและใกล้เคียงกับบางประเทศในตะวันออกกลาง ขณะที่ความต้องการใช้โพลิเมอร์ในสหรัฐยังเติบโต แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลง และโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ของบริษัท ก็ถือเป็นรายที่ 2 ในการเข้าไปลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ พีทีทีจีซี ประเมินโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในสหรัฐ มีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท และได้เลื่อนสรุปการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย(FID) ออกไปเป็นปี2564 จากเดิมคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 3/2563

159662335245

นายคงกระพัน กล่าวอีกว่า สำหรับแผนขับเคลื่อนธุรกิจนั้น ยังให้ความสำคัญในการเพิ่มสัดส่วนการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง(High Value Product: HVP)และวัสดุขั้นสูงมากขึ้นทั้งในรูปแบบการลงทุนเองหรือการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ(M&A)แทนการลงทุนขยายการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดทั่วไปที่มีราคาผันผวนตามทิศทางน้ำมัน

โดยวางเป้าหมายใน 10 ปีข้างหน้าจะมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูง(Performance Product)และเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม(Green Product)เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 10% เนื่องจากผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูงและเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจะมีมาร์จินสูง

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัท ในไตรมาส2/2563 คาดว่า ยอดขายจะเติบโตขึ้นจากไตรมาส 1/2563 ที่คาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุด เพราะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ขณะที่ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกเพิ่มสูงขึ้น หลังหยุดซ่อมบำรุงโรงโอเลฟินส์ในช่วงไตรมาส 1/2563