PTT - ถือ

PTT - ถือ

ปิดเมืองทำกำไรหด

เราคาดว่ากำไรสุทธิใน 2Q20F จะอยู่ที่ 1.18 หมื่นล้านบาท (EPS 0.41 บาท) จากที่ขาดทุน 1.5 พันล้านบาทใน 1Q แต่จะลดลง 54% yoy เพราะผลการดำเนินงานของ PTTEP บริษัทปิโตเคมี และโรงกลั่นในเครืออ่อนแอ เรามองว่ากำไรในช่วงต่อไปมีแนวโน้มดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่ผลกระทบจาก Covid-19 จะฉุดปริมาณยอดขายก๊าซในประเทศ เรายังคงคำแนะนำถือ และให้ราคาเป้าหมาย SoTP ที่ 33.00 บาท ทั้งนี้ PTTOR กำลังอยู่ในขั้นตอนของการยื่นไฟลิ่ง และเราคาดว่า กลต. น่าจะอนุมัติภายในวันที่ 14 กันยายน

 

ผลการดำเนินงานแย่ลง qoq แต่กำไรจากสต็อกจะช่วยพยุงกำไรสุทธิเอาไว้

คาดว่าผลประกอบการ 2Q20F ของ PTT จะอ่อนแออยู่ที่ 1.18 หมื่นล้านบาท (EPS 0.41) จากที่ขาดทุน 1.5 พันล้านบาทใน 1Q แต่จะลดลงถึง 54% yoy เพราะผลการดำเนินงานของ PTTEP รวมถึงบริษัทปิโตรเคมี และโรงกลั่นในเครือ (P&R) อ่อนแอ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะทำให้บริษัทมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 1.4 พันล้านบาท ซึ่งหลัก ๆ จะมาจากการกลับรายการ NRV จากที่บันทึกผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันถึง 1.91 หมื่นล้านบาทใน 1Q20 เราคาดว่าธุรกิจก๊าซซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ PTT จะถูกกระทบจากมาตรการ lockdown ทำให้ยอดขายลดลง 8% qoq เหลือ 4,271mmscfd จากการลดลงของยอดขายให้กลุ่ม IPP (-21% qoq), GSP (-11% qoq), โรงงานอุตสากรรรม (-11% qoq) และ NGV (-30% qoq) โดยมีเพียงอุปสงค์จาก SPP เท่านั้นที่เพิ่มขึ้น 2% qoq นอกจากนี้ PTT ยังมีการทำ turnaround ที่ GSP1 นาน 45 วัน ซึ่งนานกว่าแผนที่กำหนดไว้แค่ 20 วัน และเป็นอีกสาเหตุที่ฉุดให้ปริมาณยอดขายให้ GSP ลดลง ดังนั้น อัตราการใช้กำลังการผลิตจึงลดลงเหลื้อ 81.5% จาก 92.1% ใน 1Q ทั้งนี้ มาตรการ lockdown ทำให้อุปสงค์ NGV หายไป และราคาขายปลีกที่ลดลงก็ทำให้ NGV ขาดทุนหนักขึ้นเป็น 984 ล้านบาท ที่ระดับ EBIT จาก 870 ล้านบาทใน 1Q ในขณะเดียวกัน ราคาอ้างอิงของผลิตภัณฑ์สำหรับ GSP ก็ลดลง โดย HDPE ลดลง 9% qoq ส่วน PP ก็ลดลง 12% ในขณะที่ต้นทุนก๊าซลดลง 1% เนื่องจากราคาก๊าซในอ่าวไทยจะปรับช้ากว่า (จะมีการปรับราคาในเดือนเมษายน และตุลาคมของทุกปี) ปริมาณยอดขายของธุรกิจการตลาดน้ำมันก็ลดลงถึง 30% qoq เหลือ 4,360 ล้านลิตร จาก 6,200 ล้านลิตรใน 1Q20 ส่วนเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐก็ทำให้ PTT มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.2 พันล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทกำหนดจะประกาศผลประกอบการในวันที่ 11 ส.ค.

 

ผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ผลกระทบจาก Covid-19 จะฉุดอุปสงค์ก๊าซในประเทศ

ราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นเป็น US$43/bbl จาก US$30.6/bbl ใน 2Q ส่งผลให้ราคาอ้างอิงของผลิตภัณฑ์ HDPE และ PP เพิ่มขึ้น 21% และ 13% qoq เป็น US$920/t และ US$980/t ตามลำดับ  ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผลการดำเนินงานของ GSP มีแนวโน้มจะดีขึ้นอย่างมาก เราคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตจะทรงตัว qoq เพราะ GSP1 จะยังอยู่ในช่วง turndown อีก 45 วันใน 3Q นอกจากนี้ เราคาดว่าปริมาณยอดขายก๊าซก็จะยังคงอ่อนแอเนื่องจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ  ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัท P&R ในเครือน่าจะดีขึ้นเนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้น และมีกำไรจากสต็อก แต่ market GRM น่าจะยังอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าต้นทุนก๊าซน่าจะทรงตัวใน 3Q และลดลงต่ออีกใน 4Q ในขณะที่คาดว่าผลการดำเนินงานของ GSP และ EBITDA ของธุรกิจก๊าซโดยรวมจะฟื้นตัวขึ้น qoq โดยกำไรจาก GSP คิดเป็นประมาณ 40% ของ EBITDA ของธุรกิจก๊าซ

 

แนะนำถือ และให้ราคาเป้าหมาย SoTP ที่ 33 บ. PTTOR กำลังยื่นไฟลิ่งและจะอนุมัติภายใน 14 ก.ย.

เราได้รวมผลขาดทุนจากสต็อก และการปรับประมาณการกำไรของ PTTEP และ P&R ในเครือเข้าไว้ในแบบจำลองของเรา ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี FY20 ลดลง 48% และปี FY21F ลดลง 14% เรายังคงคำแนะนำถือ และให้ราคาเป้าหมาย SOTP ที่ 33 บาท คิดเป็น P/E ปี 20F ที่ 24.0x และปี FY21F ที่ 15.0x ทั้งนี้ PTTOR กำลังอยู่ในขั้นตอนของการยื่นไฟลิ่ง และเราคาดว่า กลต. น่าจะอนุมัติภายในวันที่ 14 กันยายน เราคิดว่าการเข้าตลาดของ PTTOR จะหนุนภาวะการซื้อขายระยะสั้น และราคาหุ้น PTT ให้วิ่งขึ้นตามการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน