Quantamental (4 ส.ค.63)
มั่นใจ เกาะกระแสขาขึ้นต่อไป
เดือน ก.ค. หุ้น Sideway มีพักระหว่างเดือนตามคาด
ในบทวิเคราะห์เดือน ก.ค.เราคาด ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนระหว่างเดือน แม้ภาพใหญ่ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น เนื่องจากผลการดำเนินงาน 2Q63 ที่อ่อนแอ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้เกิดการปรับลดประมาณการฯโดย Consensus ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Bloomberg consensus ประมาณการฯ EPS ของ
SET index ถูกปรับลดลง -2.9% MoM
Valuation ของตลาดหุ้นไทย ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากเดือนก่อนหน้า
จากโมเดลด้านเชิงปริมาณที่เรานำเสนอในช่วงหลายเดือนผ่านมา อาทิ Implied Equity Risk Premium (iERP), Cyclical Adjusted PE (CAPE), and Modified Yield gap (M-yield gap) เป็นต้น ตัวเลขไม่แตกต่างจากเดือนก่อนหน้านี้มากนัก โดย iERP ล่าสุด 3.51% ลดลงเล็กน้อยจาก 3.59% ในเดือนก่อน (-1 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่าเฉลี่ยในอดีตเท่ากับ 3.1%) ตัวเลข iERP สะท้อนว่าอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่สูงมากนัก แต่ยังพอรับได้สำหรับการลงทุน ขณะที่ CAPE ล่าสุดอยู่ที่ 16.13 เท่า ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่ 16.26 เท่า (ค่าเฉลี่ย CAPE และ +0.5 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีตเท่ากับ 13.5 เท่าและ 16.7 เท่า ตามลำดับ) นอกจากนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐาลไทยปรับลดลงเล็กน้อย โดยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และ 10 ปีมีอัตราผลตอบแทนเท่ากับ 0.78% และ 1.27% ตามลำดับ (ลดลงจาก 0.87% และ 1.28% ตามลำดับ จากเดือนก่อน) ผลจากอัตราผลตอบแทนที่ยังลดลง ส่งผลให้ Valuation ของพันธบัตรสูงขึ้น และจากแนวคิดเรื่อง Relative valuation ทำให้เป็นเหตุผลสนับสนุนให้ PE ของตลาดหุ้นไทยถูกปรับขึ้นตามไปด้วย เมื่อพิจารณาประเด็นดังกล่าว M-yield gap ล่าสุดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น -0.19 จุด (จาก -0.59 จุด ในเดือนก่อน) การปรับขึ้นของตัวเลขดังกล่าวเข้าใกล้ค่าศูนย์ แสดงว่า Valuation ของตลาดหุ้นไทยเริ่มปรับตัวเข้าสู่จุดสมดุลย์ระหว่าง ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรมากขึ้น (เดือนก่อน ตลาดหุ้นไทยแพงกว่าตลาดพันธบัตรเล็กน้อย)
“Cross-Asset Class momentum”: โมเดลใหม่ สำหรับการพิจารณาแนวโน้มของตลาดฯ
เดือนก่อนเราแนะนำ Acceleration momentum หรือ ACC factor สำหรับการใช้เป็นสัญญาณเตือนถึงความร้อนแรงของตลาดฯที่อาจมากเกินไป ล่าสุด ACC factor เท่ากับ -0.1% ตัวเลขติดลบ สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้ปรับขึ้นร้อนแรงมากเกินไป ความเสี่ยงที่จะพักฐานแรงๆในเดือน ส.ค.ยังต่ำ สำหรับ
บทวิเคราะห์ฉบับนี้ เราจะนำเสนอโมเดลที่ใช้สำหรับกลยุทธ์ Momentum ใหม่ที่เพิ่งถูกตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ (Aleksi P. et al, Cross-Asset Signals and Time Series Momentum, Journal of Financial Economics, 2020) ที่จะเพิ่มการพิจารณา Momentum ของตลาดพันธบัตรเข้าไปด้วย (เดิมจะพิจารณาเฉพาะ Momentum ของตลาดหุ้น) จึงเรียกว่า Cross-Asset Class momentum หรือ “CAC factor” ซึ่งเราได้ทำการทดสอบจัดพอร์ตการลงทุนโดยใช้วิธี CAC ด้วยข้อมูลตั้งแต่ปี 2551 ถึงปัจจุบันพบว่าให้ผลตอบแทนที่ Outperform การลงทุนใน SET index ทั้งในด้าน อัตราผลตอบแทน และ Sharp ratio (อัตราผลตอบแทนที่พิจารณาความเสี่ยงด้วย)
โดยสำหรับตลาดหุ้นไทย เราพบว่า i) หากทำการซื้อหุ้นเมื่อผลตอบแทนจากการลงทุน 12 เดือนย้อนหลังของตลาดพันธบัตร (12M-Bond) เป็นบวก จะให้ผลตอบแทนที่ Outperform ในเดือนถัดไป และ ii) หากทำการซื้อหุ้นเมื่อผลตอบแทนจากการลงทุน 3 เดือนย้อนหลังของตลาดหุ้นไทย (3MEquity)
เป็นบวก จะให้ผลตอบแทนที่ Outperform ในเดือนถัดไป ผลของ CAC ถูกอธิบายว่าเป็นผลของการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างช้าๆระหว่างตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร นอกจากนี้ หากนำโมเดลของเราทั้ง iERP, M-yield, ACC เข้าร่วมพิจาณาการจัดพอร์ตด้วยจะให้ผลตอบแทนเมื่อพิจารณาความเสี่ยงแล้ว
Outperform มากยิ่งขึ้น (ดูรูปที่ 5 - 7)
ล่าสุด 12M-Bond และ 3M-Equity เท่ากับ +0.6% และ +0.2% ขณะเดียวกันโมเดลอื่นๆทั้ง iERP, Myield gap, CAPE, ACC ไม่ได้ส่งสัญญาณที่เป็นลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นเราจึงคงคำแนะนำ "Buy and Hold" และหากมีการพักฐานระหว่างเดือน เนื่องจากการรายงานผลการดำเนินงาน
2Q63 เรามองเป็นโอกาสซื้อสะสม
Sideway หากตลาดฯ มีพักฐานระหว่างเดือน เป็นโอกาสสะสม
ในเชิงเทคนิค ประเมินกรอบแนวรับ SET index เท่ากับ 1300 จุด และ 1270 จุด / แนวต้าน 1340 จุด และ 1360 จุด ตามลำดับ หุ้นเด่น:
i) เลือก KSL เป็นหุ้นเด่น จาก Valuation ที่ถูก PBV 0.49 เท่า และอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง +27% ขณะที่แนวโน้มราคา KSL ยังอยู่ในช่วงต้นของแนวโน้มขาขึ้น และแนะนำ "เก็งกำไร" THRE จาก Momentum ระยะสั้นที่เด่น
ii) สำหรับหุ้นเด่นเดือน ก.ค. แนะนำ "ขายตัดขาดทุน" SUSCO (ขาดทุน 4.1%) และ "Let profit run" หุ้น ILINK (กำไร +13.9%)