โควิด 'ดานัง' ลาม 4 โรงงาน

โควิด 'ดานัง' ลาม 4 โรงงาน

โควิด-19 ในเมืองดานังของเวียดนาม กำลังลามไปสู่โรงงานอย่างน้อย 4 แห่ง นายกรัฐมนตรีเวียดนามตีกรอบสกัดการแพร่ระบาดรอบใหม่ภายในต้นเดือน ส.ค. ด้านฟิลิปปินส์ล็อกดาวน์ประชากร 1 ใน 4 ของประเทศอีกรอบ 

หนังสือพิมพ์ลาวด่งของเวียดนาม รายงานวานนี้ (3 ส.ค.) ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มจากเมืองดานังเมื่อกว่า 1 สัปดาห์ก่อน ลุกลามไปถึงโรงงานในเมืองอย่างน้อย 4 โรง พบผู้ติดเชื้อ 4 คน จากโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง ว่าจ้างพนักงานรวมกัน 77,000 คน

ดานัง เมืองท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศ พบผู้ติดเชื้อเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เป็นการติดเชื้อในประเทศรายแรกของประเทศในรอบ 100 วัน แหล่งที่มาของการระบาดรอบใหม่ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่แพร่กระจายไปยังสถานที่ต่างๆ อย่างน้อย 10 แห่ง เช่น กรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ ที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจ รวมประชาชนติดเชื้อจากคลัสเตอร์ดานัง 174 คน เสียชีวิต 6 คน

รัฐบาลแถลงว่า 23% ของผู้ติดเชื้อรอบล่าสุดไม่แสดงอาการ ล่าสุดทางการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เชื่อมโยงกับคลัสเตอร์ดานังอีก 1 คน รวมการติดเชื้อยืนยันแล้วทั้งประเทศอย่างน้อย 621 คน เสียชีวิต 6 คน จากประชากรเวียดนาม 96 ล้านคน

นายกรัฐมนตรีเหวียน ซวนฟุก กล่าวว่า ให้เวลาสกัดการแพร่ระบาดรอบใหม่ที่จะส่งผลรุนแรงว่าการติดเชื้อรอบก่อนให้ได้ภายในต้นเดือน ส.ค.

สำนักข่าวรอยเตอร์วิเคราะห์จากข้อมูลทางการพบว่า ช่วง 7 วันที่ผ่านมาเวียดนามตรวจหาเชื้อแล้ว 52,000 ครั้ง

159647683457

เมื่อวันเสาร์ (1 ส.ค.) รัฐบาลประกาศแผนตรวจหาเชื้อจากประชากรดานังทั้งหมด 1.1 ล้านคน ส่วนหนึ่งของมาตรการที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาด ดานังสั่งล็อกดาวน์ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ปิดสถานบันเทิง ห้ามการเดินทางเข้าออกเมือง

วันอาทิตย์ (2 ส.ค.) ทางการเผยว่าไวรัสสายพันธุ์ที่ตรวจเจอในดานังแพร่ได้ง่ายกว่าที่เคยระบาดครั้งก่อน ผู้ติดเชื้อ 1 คน ติดต่อคนอื่นได้อีก 5-6 คน เทียบกับการระบาดก่อนหน้านี้อยู่ที่ 1.8-2.2 คน

วันนี้ (4 ส.ค.) ประชากรฟิลิปปินส์กว่า 27 ล้านคน หรือราว 1 ใน 4 ของทั้งประเทศ ต้องถูกล็อกดาวน์อีกครั้งตามคำสั่งของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ที่ออกข้อจำกัดใหม่เมื่อคืนวันอาทิตย์ ปิดกรุงมะนิลาและ 4 จังหวัดโดยรอบบนเกาะลูซอนเป็นเวลา 14 วัน ระบบขนส่งสาธารณะรวมถึงรถจี๊ปมินิบัสอันโด่งดัง และเที่ยวบินภายในประเทศงดให้บริการ เพื่อชะลอโควิด

159647671688

ประชาชนต้องอยู่กับบ้าน ยกเว้นออกไปซื้อข้าวของจำเป็นหรือออกกำลังกาย ธุรกิจเพียงไม่กี่รายได้รับอนุญาตให้ดำเนินการได้ ร้านอาหารเฉพาะที่ซื้อกลับบ้านเท่านั้น

ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์ได้ชื่อว่า ออกคำสั่งให้ประชาชนกักตัวอยู่บ้านเข้มงวดที่สุดประเทศหนึ่ง เพิ่งผ่อนคลายล็อกดาวน์เมื่อต้นเดือน มิ.ย. แต่ต้องกลับใช้วิธีการเดิมอีกครั้งเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันแล้วพุ่งสูงถึง 5 เท่าเกิน 100,000 คนแล้ว เสียชีวิตกว่า 2,000 คน

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีดูเตอร์เต ปฏิเสธไม่ยอมปลดฟรานซิสโก ดูเก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตามที่สังคมเรียกร้อง โดยให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน

“ไม่มีใครคาดว่าจะมีคนป่วยหลายพันคนในวันเดียว” ผู้นำฟิลิปปินส์กล่าว 

วานนี้เป็นวันที่รัฐวิกตอเรีย ที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของออสเตรเลีย เข้าสู่มาตรการล็อกดาวน์เต็มวันวันแรก หลังจากประกาศภาวะภัยพิบัติและสั่งห้ามออกนอกเคหะสถานยามวิกาลในเมลเบิร์น เมืองเอกของรัฐ รับมือโควิด-19 ที่กลับมาใหม่

มาตรการนี้ถือว่าเข้มงวดที่สุดของออสเตรเลีย กินเวลา 6 สัปดาห์ แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะดีกว่าอีกหลายๆ ประเทศ จำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 18,361 คน เสียชีวิต 221 คน แต่ตอนนี้เสี่ยงมากว่าจะควบคุมไวรัสในรัฐวิกตอเรียไม่ได้

ส่วนสิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. เป็นต้นไปผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ได้แก่ พลเมืองและผู้มีถิ่นพำนัก ที่เดินทางมาจากกลุ่มประเทศที่ได้รับอนุญาต และต้องกักตัวอยู่กับบ้านแทนสถานกักตัวของรัฐจะต้องสวมสายรัดข้อมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่นเดียวกับที่ฮ่องกงและเกาหลีใต้

159647681436

เมื่อนักเดินทางมาถึงสิงคโปร์จะต้องเปิดเครื่องมือ ซึ่งทำงานผ่านระบบจีพีเอสและสัญญาณบลูทูธ และรับการแจ้งเตือนผ่านสายรัดข้อมือ หากผู้ใช้พยายามออกจากบ้านหรือแก้ไขเครื่องมือก็จะส่งสัญญาณเตือนไปให้ทางการทราบ

สิงคโปร์ ไม่ได้ให้รายละเอียดหน้าตาของเครื่องมือ แถลงเพียงว่าจะไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัว ไม่มีฟังก์ชันบันทึกภาพและเสียง เด็กอายุไม่เกิน 12 ปีไม่ต้องใช้

นอกจากนี้สิงคโปร์ยังมีแผนให้ผู้ที่อยู่ในสิงคโปร์ทุกคนสวมอุปกรณ์ติดตามไวรัส กำหนดโทษหนักสำหรับคนที่ฝ่าฝืนการกักตัว และกฎรักษาระยะห่าง ตามกฎหมายโรคติดต่อมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ ชาวต่างชาติต้องถูกยกเลิกใบอนุญาตทำงานด้วย

ส่วนตัวเลขผู้ติดเชื้อวานนี้จากเว็บไซต์ ​worldometers.info ทั่วโลกอยู่ที่ 18,254,639 คน เสียชีวิต 693,154 คน ติดเชื้อมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐ บราซิล อินเดีย เสียชีวิตมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐ บราซิล เม็กซิโก