ทำไม 'ตลาดหุ้นไทย' ขาดแรงผลักดัน?

ทำไม 'ตลาดหุ้นไทย' ขาดแรงผลักดัน?

ไขข้อข้องใจทำไมดัชนีตลาดหุ้นไทยเริ่มแกว่งตัวออกด้านข้าง (sideway) โดยช่วงเดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายน ตลาดหุ้นไทยเทรดได้คึกคักปรับตัวขึ้นได้เร็ว แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในเดือนกรกฎาคม

ดัชนีตลาดหุ้นไทยเริ่มแกว่งตัวออกด้านข้าง (sideway) ขณะรอบริษัทจดทะเบียนทยอยประกาศกำไรไตรมาสที่สอง ที่คาดว่าจะเห็นกำไรหดตัวราว 40% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน จริงอยู่นักลงทุนไม่ได้คาดหวังตัวเลขในไตรมาสนี้มากนัก เนื่องจากภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างปกติ คำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศยังไม่กลับได้เร็วมากนัก

แม้ว่ากลุ่มประเทศในเอเซียสามารถควบคุมการแพร่เชื้อไวรัส Covid-19 ได้ดี แต่กลุ่มประเทศยุโรป และสหรัฐ ยังคงต้องต่อสู้อย่างหนักกับการควบคุมการแพร่ระบาด และการเยียวยาผู้ติดเชื้อ

นักลงทุนหลายท่านอาจแปลกใจ ตลาดหุ้นไทยเทรดได้คึกคักปรับตัวขึ้นได้เร็วในช่วงเดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายน แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในเดือนกรกฎาคม แม้ว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันยังคงหนาแน่นไม่ต่ำกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่เคลื่อนไหวมากนัก เนื่องจากนักลงทุนรอดูว่าผลประกอบการที่ประกาศออกมานั้นจะมี positive หรือ negative shock หรือไม่

ซึ่งเริ่มด้วยกลุ่มธนาคารที่ประกาศออกมาจนหมดแล้ว ปรากฎว่าธนาคารต่างตั้งสำรองหนี้สงสัยสูญอย่างหนักหน่วงเกินกว่าที่นักลงทุนคาด แน่นอนเกิดจากผลกระทบจากการปิดเมือง แต่ตลาดหุ้นนั้นต้องการ positive surprise ครับ ในจุดนี้หากเม็ดเงินจะไหลเข้าตลาดหุ้น เนื่องจากหากพิจารณาจากค่าพีอีปีนี้ และปีหน้า ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ดูจะมี upside ไม่มากนัก 

นักวิเคราะห์ขาดประเด็นหนุนในการปรับประมาณการกำไรตัวเลขเพิ่มขึ้น สำหรับจำนวนบริษัทที่ประกาศตัวเลขออกมาดีเกินคาดนั้นก็ค่อนข้างจำกัด และตัวเลขรวมกันก็ไม่มีนัยยะต่อผลรวมตลาดเท่าไรนัก

ในทางกลับกัน ทิศทางของราคาทองคำ ที่นักลงทุนมองว่าแพงแล้วที่ระดับ 28,000 บาทต่อออนส์ ยังคงสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องแม้ว่าจะมีแรงขายทำกำไรตลอดเวลา เนื่องจากการถือครองทองคำนั้นไม่มีอัตราดอกเบี้ย

ทำไมคนถึงยังแห่ซื้อทองคำไปล่ะ ผมพอสรุปได้ประมาณนี้ครับ คือ 

1.การอัดฉีดเงินจากประเทศสหรัฐ ยุโรป และจีน ย่อมทำให้สภาพคล่องในระบบสูงมาก การก่อหนี้ในระดับสูงของประเทศสหรัฐนั้น สุ่มเสี่ยงต่อวิกฤตค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐเพิ่มขึ้นในอนาคต

2.อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกต่ำติดดินหรือบางประเทศในยุโรปติดลบ ซึ่งไม่มีความสนใจมากนักในการพักเงิน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการซื้อ ถือครองทองคำ ง่ายๆคือ ไม่มี handicap สำหรับทองคำในเรื่อง คำกล่าวอ้างสำหรับอัตราดอกเบี้ยของการถือครองอีกต่อไป

3.นักลงทุนเริ่มประเมินการฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจในรูปแบบที่เปลี่ยนไป กล่าวคือ การฟื้นตัวของธุรกิจ การกลับมาเปิดธุรกิจ ไม่ง่าย ไม่เร็ว เช่นที่คาดไว้ ทำให้สะท้อนในเรื่องความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นสำหรับภาพเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียน ดังนั้น การขายทำกำไรสำหรับตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนกรกฎาคมนี้ดูชัดเจนมากขึ้นในสายตาผม

4.สำหรับประเทศไทย ตัวเลขดัชนีชี้นำภาคเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าดัชนีชี้วัดด้านการท่องเที่ยว และการส่งออก หากไม่สามารถกลับคืนตัวสู่ภาวะปกติได้เร็ว การคาดหวังเรื่องเศรษฐกิจโดยรวมก็ขาดสีสันละครับ ดังนั้น การเลือกลงทุนในหุ้นจะต้องประณีตมากขึ้นสำหรับนักลงทุน และพร้อมต้องตัดขาดทุนหากจำเป็นครับ