'การใช้ยาอย่างสมเหตุผล' สิ่งที่คนไทยควรรู้

'การใช้ยาอย่างสมเหตุผล' สิ่งที่คนไทยควรรู้

องค์การอนามัยโลกกล่าวไว้ว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของการจ่ายยาและการขายยาในประเทศกำลังพัฒนาเป็นไปอย่างไม่สมเหตุผล ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

การใช้ยาไม่สมเหตุผลที่เกิดขึ้น ทั้งในสถานพยาบาล ร้านขายยา และชุมชน เป็นปัญหาของประเทศไทยมายาวนาน ซึ่งสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกที่กล่าวไว้ว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของการจ่ายยาและการขายยาในประเทศกำลังพัฒนาเป็นไปอย่างไม่สมเหตุผล และเนื่องจากการใช้ยาไม่สมเหตุผลส่งผลเสียต่อสุขภาพและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชาชน

ด้วยเหตุผลดังกล่าว หน่วยงานรัฐหลายฝ่าย จึงร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาสู่ประเทศใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยชุมชนเป็นศูนย์กลาง ครอบคลุมทั้งการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มุ่งหวังให้คนไทยปลอดภัยจากการใช้ยา และสามารถพึ่งตนเองดูแลความเจ็บป่วยเบื้องต้นของตนเองได้อย่างเหมาะสม

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและประธานอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล กล่าวว่า ถ้าใช้ยาไม่สมเหตุผลจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศ ทั้งนี้ใน พ.ศ.2561 ค่าใช้จ่ายด้านยา คิดเป็นร้อยละ 44 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ซึ่งสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านยาเพียงร้อยละ 10-20 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ 

คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ จึงมีมติเห็นชอบการพัฒนาสู่ประเทศใช้ยาอย่างสมเหตุผล ตั้งแต่ธันวาคม 2561 และมอบหมายคณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use country หรือRDU country) ดำเนินการให้เป็นไปตามมติ

 ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างความเข้มแข็งประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) กล่าวว่า นอกเหนือจากการจ่ายยาและการขายยาอย่างไม่สมเหตุผลแล้ว องค์การอนามัยโลกยังระบุว่ามากกว่าครึ่งของผู้ใช้ยายังไม่สามารถใช้ยาได้อย่างถูกต้องอีกด้วย

"การซื้อยาใช้ด้วยตนเองของประชาชนโดยขาดความรู้ ความเข้าใจ นำความเจ็บป่วย ความทุพพลภาพ และการเสียชีวิต มาสู่ประชาชนจำนวนมากในแต่ละปี เช่น กรณียาชุดแก้ปวด ที่ทำให้เลือดออกในทางเดินอาหาร ไตวาย ความดันเลือดสูงขึ้น หัวใจวาย หัวใจล้มเหลว และเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตจากเส้นเลือดสมองอุดตัน ยาชุดแก้อักเสบ (ฆ่าเชื้อ) ทำให้ซ้ำเติมปัญหาเชื้อดื้อยาที่เป็นวิกฤติอยู่แล้วในปัจจุบันให้ยิ่งเลวลง 

ยาแก้ปวดไมเกรนทั้งกลุ่มเอ็นเสด ที่ก่อปัญหาเดียวกันกับยาชุดแก้ปวด และกลุ่มเออร์กอตที่อาจทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงที่ปลายมือ ปลายเท้า จนต้องตัดนิ้ว มือ หรือเท้า และบางคนก็เสียชีวิตลง การซื้อยาอันตรายจึงต้องซื้อจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรอยู่ปฏิบัติงานเท่านั้นเพื่อให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้ยา"

คนไทยทุกคนสามารถมาร่วมสร้างบรรทัดฐานใหม่ (new normal) เพื่อ“อาร์ดียู”ได้โดยยึดหลักว่าความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ ซึ่งมีสมุทัยคือสาเหตุของการเกิดโรค การแก้ไขต้องเริ่มจากเหตุเพื่อนำไปสู่ความสุขทั้งกายและใจ เริ่มจากการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมเพื่อไม่นำโรคเอ็นซีดี เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันเกาะตับ โรคเกาต์ โรคไต ตลอดจนโรคจากการสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การใช้สารเสพติด มาสู่ตน รวมถึงการนำบุตรหลานและบุคคลในครอบครัวไปรับวัคซีนต่าง ๆ ตามระยะเวลาที่กำหนด 

การกระทำเช่นนี้ คุณหมอพิสนธิ์ บอกว่า จะลดโอกาสป่วย ลดความจำเป็นในการใช้ยาลงได้อย่างมหาศาล แต่เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องทำความรู้จักกับยาที่ได้รับและตั้งใจที่จะใช้ยานั้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตามคำสั่งของแพทย์ ไม่หยุดยาเอง ไม่เลือกกินหรือไม่กินยาบางชนิด เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยาที่ใช้หรือไม่ประสงค์จะใช้ยาต่อต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ 

"เมื่อไปพบแพทย์ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคใดแม้แต่โรคหวัด ไอ เจ็บคอ ก็ควรนำยาที่ใช้อยู่ไปด้วยเสมอ เพื่อให้ผู้รักษาทราบปัญหาเดิมที่เป็นอยู่ ช่วยให้เลือกยาได้เหมาะสมมากที่สุดและป้องกันการใช้ยาซ้ำซ้อน การไปรับยาตามนัดก็ควรนำยาเดิมไปด้วย เพราะหากยาใดเหลือมากผู้รักษาจะได้สอบถามถึงเหตุผลและหาทางแก้ไขปัญหาให้ เช่น ฉลากยากำหนดให้ใช้วันละ3 ครั้งแต่ผู้ป่วยอาจใช้เพียงวันละ 1 ครั้งเพราะไม่ได้อ่านฉลากยาหรือใช้ผิดด้วยความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง 

หากยาใดไม่ต้องใช้ต่อแล้วหรือมีการปรับขนาดยา ผู้รักษาสามารถสื่อสารกับประชาชนได้ง่ายขึ้นด้วยยาเดิมที่นำไปยังโรงพยาบาล ผู้ป่วยบางรายมียาบางชนิดเหลือมากกว่า 1 พันเม็ดในกรณีนี้หลังทำความเข้าใจถึงความจำเป็นในการใช้ยาแล้ว แพทย์ก็ไม่ต้องสั่งยาเดิมเพิ่มเติมไปอีก รอไว้สั่งในครั้งต่อ ๆ ไปที่ยาใกล้หมด ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่ายาเหลือที่สะสมไว้โดยไม่ได้ใช้ของประชาชนรวมทั้งประเทศมีจำนวนและมูลค่ามหาศาล ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองค่ายาไปโดยเปล่าประโยชน์"

อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดที่บ่งถึงความสำเร็จของ RDU Country คือ ความรอบรู้ของประชาชนด้านยาและสุขภาพเพียงพอที่จะทำให้เกิดพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยวิธีการที่ไม่ต้องใช้ยา 

ถ้าจะใช้ยา ต้องใช้ให้ถูกต้อง ทั้งด้านขนาดยา วิธีใช้ยา ความถี่ และระยะเวลาการใช้ ไม่หยุดยาเอง เพราะเพื่อนบ้านแนะนำ ไม่มียาเหลือสะสมไว้เป็นจำนวนมาก รู้จักอันตรายของยาที่ช่วยให้หลีกเลี่ยงผลข้างเคียงบางประการของยาได้ ไม่ซื้อยาปฏิชีวนะใช้เอง