ทาง 2 แพร่งทองคำ ปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ

ทาง 2 แพร่งทองคำ  ปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ

“ทองคำ” ได้รับการขนานนามว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หรือ “เซฟเฮฟเว่น” มาหลายยุคหลายสมัย นักลงทุนมักซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะตลาดที่ผันผวน

ยิ่งในยามที่โลกเผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งจากภาวะสงคราม ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจที่ตกต่ำ ไปจนถึงโรคระบาด ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญหนุนราคาทองคำในฐานะ “หลุมหลบภัยชั้นดี”

เห็นได้จากปีนี้ราคาทองคำพุ่งไม่หยุด เดินหน้าทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ทองโลกขยับใกล้ 2,000 ดอลาร์ต่อออนซ์ เข้ามาทุกที ขณะที่คนไทยมีลุ้นได้เห็นทองทะลุ 30,000 บาท เป็นครั้งแรกในชีวิตเช่นกัน

เรียกว่าเราอยู่ในยุคที่ทุกคนกำลังตื่นทองคงไม่ผิด แต่เปลี่ยนจากการ “ขุดทอง” ในอดีต มาลงทุนในทองคำ มีการซื้อ “เก็งกำไร” อย่างคึกคัก หลังเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสมรณะโควิด-19 ที่สร้างความปั่นปวนไปทั้งโลก เพราะเป็นโรคระบาดใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยังไม่มียารักษา ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยแล้ว ยังเล่นงานเศรษฐกิจโลกทรุดหนักในรอบกว่า 100 ปี

เมื่อความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ทำให้บรรดานักลงทุน ทั้งสถานบัน กองทุน ไปจนถึงรายย่อย แห่ซื้อทองจนดันราคาพุ่งกระฉูด หากย้อนดูตั้งแต่ต้นปีราคาทองคำในตลาดโลกขึ้นมาแล้วกว่า 30% ขณะที่เดือนก.ค. เดือนเดียวทองพุ่งถึง 10% จนทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ขึ้นแรงขนาดนี้จะยังไปต่อได้หรือไม่? หรือ จะหมดรอบเสียแล้ว? จังหวะนี่ถือเป็นทาง 2 แพร่งของราคาทองคำที่น่าจับตามองยิ่งนัก

โดย ศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส ระบุว่า มีโอกาสได้เห็นราคาทองคำขึ้นไปแตะระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งถือเป็นช่วงขาขึ้นโค้งสุดท้ายของรอบนี้แล้ว หลังจากนั้นต้องระวังการปรับฐานทางเทคนิค ซึ่งอาจลงแรงมากถึง 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่จะเข้ามาเล่นเก็งกำไรระยะสั้น ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ควรรอให้การปรับฐานสะเด็ดน้ำเสียก่อน ค่อยกลับเข้าไปลงทุนใหม่ ที่บริเวณแนวรับ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์, 1,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะภาพระยะยาวยังน่าสนใจ พื้นฐานยังแข็งแกร่ง มั่นใจว่าปีนี้จะให้ผลตอบแทบที่ดี

“ถ้าขึ้นไปแตะ 2,000 เมื่อไหร่ จะปรับฐานลงแรงแน่นอน 100 ดอลลาร์ เป็นไปได้ แต่ไม่น่ากลัว ไม่ต้องตกใจ เพราะเป็นปัจจัยทางเทคนิค ขึ้นแรงก็ลงแรง เป็นการพักฐานเพื่อขึ้นต่อ เพราะพื้นฐานระยะยาวยังเป็นบวก”

เธอ บอกว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำรอบนี้ ถอดแบบกันมาแทบจะเป๊ะๆ กับช่วงเดือน ส.ค. 2554 ที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้ออกมาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จากระดับ AAA เป็น AA+ สืบเนื่องจากภาระการขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงปรี๊ด

จนทำให้เกิดแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยง นักลงทุนหนีตายเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย ดันราคาทองพุ่งแรงเกือบ 200 ดอลลาร์ ภายในเวลาสองสัปดาห์ จนขึ้นไปทำนิวไฮแถวๆ 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อต้นเดือน ก.ย. 2554 ซึ่งไม่ต่างกับการขึ้นรอบนี้ หลังทะลุ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาได้เมื่อต้นเดือน ก.ค. จากนั้นก็ติดสปีดขึ้นไม่หยุดทำออลไทม์ไฮที่ 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แต่ถ้าวัดกันที่พื้นฐานปีนี้ถือว่ากินขาด จากสารพัดปัจจัยบวก โดยเฉพาะการระบาดของโควิด-19 ที่ยังยากจะควบคุม สถานการณ์ยังไม่นิ่ง หลายประเทศกลับมาระบาดรอบใหม่ กลายเป็นปัจจัยหนุนสำคัญให้คนทั้งโลกแห่ซื้อทองคำในฐานะ “เซฟเฮฟเว่น” เพื่อป้องกันความเสี่ยง

นอกจากนี้ ทองยังได้แรงหนุนจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่มักจะกระทบกระทั่งกันไปมา รวมทั้งความเสี่ยงด้านฐานะการคลังของสหรัฐฯ จากปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ปลายปีจะมีการเลือกตั้งใหม่ซึ่งยังไม่รู้ว่าพรรคไหนจะชนะการเลือกตั้ง

อีกทั้ง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางทั่วโลกที่เร่งอัดฉีดสภาพคล่อง (คิวอี) เข้าสู่ตลาด ทำให้เงินล้นระบบจึงต้องหาที่ลง ซึ่งทองคำดูจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากที่สุดเวลานี้ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงท่วมโลก

ส่วนถ้าหันกลับมาดูทองคำในบ้านเรา ภาพรวมคงไม่ต่างอะไรมากกับราคาทองในตลาดโลก ถามว่ามีโอกาสได้เห็นทองแตะ 30,000 บาท หรือไม่? พอมีลุ้นอยู่บ้าง แต่ต้องผ่านแนวต้านสำคัญ 29,500 บาท ไปให้ได้ก่อน ซึ่งดูแล้วยังเป็นด่านหิน เพราะมีบรรดากองทุนจ้องรอขายอยู่

ดังนั้น สำหรับใครที่รอจังหวะซื้อทอง ควรรอย่อก่อน บริเวณแนวรับ 28,300 บาท, 28,000 บาท และ 27,700 บาท ซึ่งคำนวณภายใต้เงินบาทที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์