SICTเทรดวันแรก ชนซิลลิ่ง200%รอบ3ปีครึ่ง

SICTเทรดวันแรก  ชนซิลลิ่ง200%รอบ3ปีครึ่ง

“ซิลิคอน คราฟท์ ” เปิดเทรดวันแรกราคาพุ่ง 200% จากราคาไอพีโอที่ 1.38 บาท ทำสถิติหุ้นไอพีโอชน ซิลลิ่งครั้งแรกในรอบ 3 ปีครึ่ง คาดรายได้ปีนี้โตกว่าปีก่อนที่ทำได้ 308 ล้านบาท รับอานิสงส์ไมโครชิพสัตว์-ยานยนต์โตต่อเนื่อง

บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SICT เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วานนี้ (30 ก.ค.) โดยมีราคาเปิดที่ 4.14 บาท เพิ่มขึ้น 2.76 บาท หรือ 200% จากราคาจองซื้อหุ้น (ไอพีโอ) ที่ 1.38 บาท และนับว่าเป็นหุ้นไอพีโอ ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นชนซิลลิ่ง ในรอบ 3 ปีครึ่ง นับตั้งแต่ปี 2559  คือ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ที่เข้าเทรดวันที่ 23 ธ.ค.2559

นายมานพ ธรรมสิริอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SICT เปิดเผยว่า  ราคาหุ้นเทรดวันแรกของบริษัทที่ปรับตัวขึ้นถึง 200% ส่วนตัวรู้สึกดีใจที่นักลงทุนให้การตอบรับหุ้นของบริษัทเป็นอย่างดี จนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปถึงขนาดนั้น ซึ่งบริษัทถือเป็นหุ้นเทคโนโลยี ที่ประเทศไทยอาจไม่ค่อยมีมากนัก จึงทำให้นักลงทุนให้มูลค่า เลยสะท้อนมาที่ราคาหุ้น

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จำนวน  138 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ต่อยอดการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีหลัก (Core Technology) โดยลงทุนในเครื่องมืออุปกรณ์และพัฒนาซอฟต์แวร์สัดส่วนราว 35%, นำไปใช้ในการร่วมลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมส่งเสริมธุรกิจของบริษัทหรือ Deep Tech ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาหาพาร์ทเนอร์ทั้งในและต่างประเทศ สัดส่วน 30% ส่วนเงินที่เหลืออีก 35% บริษัทจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เช่น การจ้างบุคลากรด้านวิจัยและพัฒนา 

ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มบุคลากรขึ้นปีละราว 10-20% จากเดิมที่มีอยู่จำนวน 120 คน รวมถึงจ้างทีมออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าหลังจากบริษัทเข้าตลาดจะสามารถดึงกลุ่มคนเหล่านี้เพิ่มขึ้นได้

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการปีนี้ มั่นใจว่ารายได้จะเติบโตกว่าปีก่อนที่ทำได้ 308 ล้านบาท อย่างแน่นอน หลังมีคำสั่งซื้อ (ออร์เดอร์) จากคู่ค้าในต่างประเทศเข้ามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจผลิตไมโครชิพสำหรับระบบลงทะเบียนสัตว์ที่ยังเติบโตได้ดี พร้อมยืนยันว่าบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะคู่ค้ายังมีออร์เดอร์เข้ามาต่อเนื่อง  ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มยานยนต์อาจต้องรอประเมินผลกระทบในช่วงไตรมาส 3 ปี2563 อีกครั้ง

นอกจากนี้บริษัทมีเป้าหมายธุรกิจในช่วง 4 ปีข้างหน้า (กลางปี2563-2567) คาดว่าผลประกอบการจะเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 20% หรือขยายตัว 2 เท่า จากปัจจุบัน โดยตั้งเป้าภายในปี 2567 บริษัทจะมีรายได้แตะระดับ 600 ล้านบาท จากปี 2562 ที่ทำได้ 308 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจไมโครชิพยังเติบโตทั้งในกลุ่มปศุสัตว์-สัตว์เลี้ยง และกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มยานยนต์

“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะยิ่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับบริษัทและยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ของเราได้มากขึ้น"