‘ทิสโก้เวลธ์’ ชี้ หุ้นไทยครึ่งหลังผันผวน

‘ทิสโก้เวลธ์’ ชี้ หุ้นไทยครึ่งหลังผันผวน

“ทิสโก้เวลธ์” คาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง63 ยังคงผันผวน เหตุโควิด-19 เลือกตั้งในสหรัฐ-เทรดวอร์ เศรษฐกิจโลก กดดัน แนะกระจายความเสี่ยงลงทุนเน้นหุ้นต่างประเทศ พร้อมเผย ครึ่งปีแรก63 “เอนยูเอ” 2.8 หมื่นล้าน ใกล้เคียงปีก่อน

นางวรสินี เศรษฐบุตร หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจทิสโก้เวลธ์ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ามีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นมากกว่าเป้าหมาย โดยช่วงครึ่งปีแรก 2562 มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาเพิ่มเพียง 10% เท่านั้น

ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUA) กว่า 28,000 ล้านบาท ซึ่งยังคงอยู่ในระดับเดียวกับสิ้นปีก่อน เพราะ มูลค่าหุ้นที่ลดลงและมีการขายทำกำไรบางส่วนออกมา ส่วนช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าน่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง แต่อาจจะน้อยกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เพราะครึ่งปีหลังภาวะตลาดจะผันผวนจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก

สำหรับมุมมองการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ นางวรสินี มองว่า เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจาก 3 ปัจจัย ที่ยังคงกดดันต่อเนื่อง ได้แก่ การระบาดของโควิด-19 รวมถึงการเลือกตั้งในสหรัฐฯที่จะเกิดขึ้นในเดือนพ.ย.นี้ ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดหุ้น รวมถึงสงครามการค้าที่แม้จะมีการเซ็นสัญญาในเฟสแรกไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะหดตัวกว่า 4%

ดังนั้นทางธนาคารทิสโก้ แนะนำลงทุน 4 กองทุนเด่น ได้แก่ กองทุนเปิดทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์, กองทุนเปิดทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้, กองทุนเปิดวรรณ โกลบอล อีคอมเเมิร์ซ และกองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกร์ธ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป ซึ่งเป็นธีมการลงทุนตามเมกะเทรนด์ ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยและช่วยสร้างผลกำไรที่ดีในอนาตต สะท้อนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ทั้ง 4 กองทุนให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 30% ในขณะที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นเฉลี่ยที่ -10%

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง “ตราสารทุน” ยังเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดี เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ลงทุนอื่น โดยมีปัจจัยบวกจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ และคาดดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปถึงปี 2565 รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด มีการอัดฉีดเงินเข้าระบบอย่างต่อเนื่องในระดับที่สูง ทำให้สภาพคล่องในตลาดมีมากขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

สำหรับการลงทุนในหุ้น แนะนำว่า นักลงทุนควรลงทุนในหุ้นต่างประเทศและควรกระจายการลงทุนเป็นหลักเพื่อลดความผัวนผวนของตลาดหุ้นไทย  โดยหุ้นที่น่าสนใจยังคงเป็นหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ดังนั้น หากเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ ควรมีสัดส่วนการลงทุนหุ้นต่างประเทศ 60-70% และหุ้นไทย 10-20% รวมถึงควรมีการลงทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ ติดไว้ไม่เกิน 5% ของพอร์ตลงทุน ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ นอกจากพันธบัตรรัฐบาลแล้ว  ยังไม่แนะนำให้ลงทุนปีนี้