DELTA จุดพลุกลุ่มอิเล็กฯ กูรูหวั่นงบฯที่เหลือดีไม่พอ

หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) เป็นกลุ่มที่ราคาปรับตัวขึ้นโดดเด่นสุดนับแต่ก้าวเข้าสู่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จนปัจจุบันดัชนีของกลุ่มฯ สามารถปรับตัวขึ้นได้กว่า 110% ภายในช่วงเวลา 4 เดือน

โดยเฉพาะหุ้นอย่าง บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA กลายมาเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market cap.) แตะระดับ 1.29 แสนล้านบาท สูงที่สุดในกลุ่มฯ

เมื่อไล่เรียงดูในบรรดาหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูงสุด 5 อันดับแรกของกลุ่มฯ ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 96% โดย บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ หรือ KCE เพิ่มขึ้น 100.73% บมจ.เอสวีไอ หรือ SVI เพิ่มขึ้น 80.41% บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส หรือ HANA เพิ่มขึ้น 51.09% และ บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ CCET เพิ่มขึ้น 43.38%

ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นในกลุ่มฯ ดิ่งลงแรงในช่วงที่ตลาดปรับฐานเพราะความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการไตรมาสแรกของกลุ่มโดยรวมยังเติบโตได้ 8.5% ส่วน 5 บริษัทใหญ่ของกลุ่มฯ มี DELTA และ HANA ที่รายงานกำไรสุทธิลดลง 21.14% และ 32.82% ตามลำดับ ส่วนที่เหลืออีก 3 บริษัท รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 50 – 180%

ขณะที่ ผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2563 มีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างจำกัดจากโควิด-19 และการที่ DELTA นำร่องรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ออกมาเติบโตถึง 130% จนทำให้เกิดแรงเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงวันทำการที่ผ่านมา

สำหรับผลประกอบการของ DELTA แม้ว่ารายได้รวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.55% อยู่ที่ 1.45 หมื่นล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทนั้นลดลง 4.17% อยู่ที่ 1.27 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม จึงทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิถึง 2.02 พันล้านบาท

แรงหนุนสำคัญมาจากความต้องการในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูล (cloud storage) และศูนย์ข้อมูล (data center) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในไตรมาสนี้สูงถึง 26.85% เทียบกับไตรมาสแรกที่เพียง 20.39%

อเนกพงศ์ พุทธาภิบาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส มองว่า แม้กำไรของ DELTA จะออกมาเติบโตโดดเด่น แต่หุ้นหลักตัวอื่นๆ อย่าง KCE และ HANA อาจจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก เนื่องจากผลิตภัณฑ์หลักของแต่ละบริษัทที่ต่างกัน

“DELTA ได้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์กลุ่ม data center แต่หุ้นตัวอื่นนั้นต่างกันออกไป อย่างเช่น KCE ผลิตภัณฑ์หลักอยู่ในกลุ่มยานยนต์ ขณะที่ HANA ผลิตภัณฑ์หลักอยู่ในกลุ่มสมาร์ทโฟนและยานยนต์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองในช่วงที่ผ่านมา”

โดยภาพรวมแล้ว หลังจากที่ราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับขึ้นมาต่อเนื่อง จึงให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด (Underweight) ซึ่งเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว แม้ว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวได้บ้างสำหรับสินค้าในกลุ่มยานยนต์และสมาร์ทโฟน แต่เชื่อว่าความต้องการซื้อจะยังไม่กลับมาเป็นปกติเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 เพราะกำลังซื้อที่ลดลงไป

ส่วนหุ้น DELTA นั้น บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2563 และปี 2564 ขึ้น 53% และ 31% ตามลำดับ เป็น 5.8 พันล้านบาท (เติบโต 91%) และ 6.2 พันล้านบาท (เติบโต 5.2%) ตามลำดับ จากการปรับสัดส่วนยอดขายของ Power Supply ขึ้นทำให้อัตรากำไรรวมเพิ่มขึ้นเป็น 24% ยังอนุรักษนิยมเทียบกับไตรมาส 2 ที่ทำได้ 26.9% ขณะที่ยอดขายคงมุมมองเติบโต 3.6% แม้อยู่ภายใต้ภาวะโควิด-19 ขณะที่ประมาณการของ Consensus น่าจะปรับขึ้นเช่นกัน เพราะกำไรในครึ่งปีแรกคิดเป็น 75% ของประมาณกำไรทั้งปีแล้ว

ขณะที่ บล.บัวหลวง ประเมินว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2 ของกลุ่มจะออกมาผสมผสานขึ้นอยู่กับพอร์ตสินค้าในแต่ละบริษัท โดยคาด KCE จะรายงานกำไรอ่อนตัวจากไตรมาสแรก และน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ สำหรับมุมมองครึ่งปีหลังน่าจะเห็นการฟื้นตัวของกำไรต่อเนื่องจากยอดคำสั่งซื้อที่เข้ามาทั้ง DELTA และ KCE ในด้านของมูลค่าหุ้น (ณ 23 ก.ค.) DELTA ซื้อขายในระดับ P/E ปี 2564 ที่ 22 เท่า ขณะที่ KCE ซื้อขายที่ P/E 21 เท่า