FSSIA คาดหุ้นแบงก์ฉุดดัชนีฯQ3/63 วิ่งไม่เกิน 1,450 จุด

FSSIA คาดหุ้นแบงก์ฉุดดัชนีฯQ3/63 วิ่งไม่เกิน 1,450 จุด

"บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟ เอส เอส อินเตอร์เนอร์เนชั่นแนล" คาดตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 3/63 เคลื่อนไหวไม่เกิน 1,400-1,450 จุด เหตุหุ้นกลุ่มแบงก์ฉุดจากการตั้งสำรองหนี้เสีย หลังโควิด-19 พ่นพิษ

นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟ เอส เอส อินเตอร์เนอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA บริษัทย่อยของ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่าทาง FSSIA ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/2563 นี้ว่า หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเป็นตัวฉุด SET Index ทำให้เคลื่อนไหวไม่เกินระดับ 1,400-1,450 จุด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 กระทบต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวม ทำให้ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ กดดันให้ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2563 ปรับตัวลดลง

“หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์นับว่ารับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากที่สุด เพราะเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมในฐานะผู้ปล่อยสินเชื่อ นับเป็นตัวแทนของความเสียหายจากวิกฤตการณ์รอบนี้ และมีหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน ร่วมกดดันดัชนีด้วย ส่งผลให้ SET Indexในไตรมาส 3 /2563 ปรับตัวในกรอบจำกัดคาดว่าไม่เกิน 1,450 จุด แต่เชื่อว่ากรณีเลวร้ายที่สุดไม่น่าจะปรับตัวต่ำกว่าระดับ 1,200 จุด เนื่องจากมีหุ้นในกลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า ปิโตรเคมี คอยประคองดัชนี”

นายสุวัฒน์ กล่าวต่อว่าในวิกฤตหนี้เสียรอบนี้ ประเมินว่ากลุ่มลูกค้าสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายบุคคลจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการล็อคดาวน์ประเทศส่งผลให้ร้านค้าต่างๆ ต้องหยุดดำเนินการ การค้าขายหยุดชะงัก และเป็นเหตุผลหลักทำให้หนี้เสียทั้งระบบจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3% จะพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุด 7% ในช่วงปลายปี 2564 แต่นับว่าไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล เมื่อเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งในขณะนั้นหนี้เสียทั้งระบบขึ้นไปสูงสุดถึง 45% และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์อยู่ที่ระดับ 5.3% ขณะที่ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ(Coverage Ratio) ในขณะนั้นอยู่ในระดับต่ำเพียง 26% และ 72% ตามลำดับ เทียบกับปัจจุบันสูงถึง 117% สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งฐานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ และมีแนวโน้มว่าธนาคารพาณิชย์จะทยอยเพิ่มการตั้งสำรองเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรับมือกับหนี้เสียที่จะเกิดขึ้นได้

ขณะที่คาดการณ์ว่า SET Index จะกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาส 4/2563 มีโอกาสเห็นระดับ 1,550 จุด เนื่องจากประชาชนเริ่มคุ้นเคยกับสถานการณ์ ส่งผลให้การดำรงชีวิตใกล้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก่อให้เกิดความต้องการบริโภค ส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้มีสัดส่วนต่อมูลค่าตลาดรวม(มาร์เก็ตแคป)ในสัดส่วนที่สูง รวมแล้วเกือบ 20% โดยหุ้นที่มีความน่าสนใจลงทุนอย่างโดดเด่น คือ หุ้นบริษัท เอสโซ่(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือESSO และหุ้นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด(มหาชน) หรือPTG
รวมไปถึงความน่าสนใจลงทุนในหุ้นธนาคารพาณิชย์จะกลับมา โดยเฉพาะธนาคารที่มีการตั้งสำรองในอัตราที่สูงจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว อย่างเช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือBBL และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)หรือKBANK

นอกจากนี้คาดว่าประเด็นการลงทุนหุ้นคู่แม่และลูกจะกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี อาทิ แผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือSCGP บริษัทลูกของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือSCC และ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) หรือOR บริษัทลูกของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)หรือ PTT คาดว่าจะก่อให้เกิดความคาดหวังการลงทุนในหุ้นแม่เช่นเดียวกับกรณีการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นของบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือSTGT ประสบความสำเร็จอย่างมาก พบว่าทำให้หุ้นแม่ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด(มหาชน) หรือSTA ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเช่นกัน หรือแม้แต่การเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าของบริษัท ทีพีซี เพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) คาดว่าจะกระตุ้นการลงทุนใน บริษัท ไทยโพลีคอน จำกัด(มหาชน) หรือTPOLY