'กลุ่มพริมามารีน' คว้างานแหลมฉบังเฟส3 เฉียด 2.2 หมื่นล้าน

'กลุ่มพริมามารีน' คว้างานแหลมฉบังเฟส3 เฉียด 2.2 หมื่นล้าน

“พริมา มารีน”ผนึก นทลิน ชนะประมูลก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 งานก่อสร้างทางทะเล มูลค่าเฉียด 2.2 หมื่นล้าบาท คาดลงนามการท่าเรือภายใน 1 เดือน และเดินหน้าก่อสร้างทันทีในไตรมาส 3


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุมคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ในวันนี้(29 ก.ค.) มีมติรับรองผลการประมูลด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) การก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ในงานส่วนที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเล เรียบร้อยแล้ว


โดยกลุ่มที่ชนะการประมูลคือ กลุ่มกิจการร่วมค้า CNNC ซึ่งประกอบด้วย บริษัท เอ็น.ที.แอล.มารีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ. พริมา มารีน บริษัท นทลิน จำกัด และ บริษัท จงก่าง คอนสตรั๊คชั่น กรุ๊ป จำกัด (ประเทศจีน) โดยเสนอราคา 21,320 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลางที่ทางการท่าเรือฯตั้งไว้ที่ 21,957 ล้านบาท หลังจากนี้คาดว่าการท่าเรือฯจะเซ็นสัญญากับกลุ่ม CNNC ภายในเวลา 1 เดือน และคาดว่าจะเริ่มลงมือก่อสร้างได้ภายในปลายไตรมาศที่ 3 ของปีนี้ โดยจะต้องก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 4 ปีนับจากวันที่เซ็นสัญญา


สำหรับการประมูลครั้งนี้มีบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่เข้าร่วมประมูลอีกหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มของบริษัท อิตัลไทย ดีเวล๊อปเมนต์ กับ บริษัท CHINA HARBOUR กลุ่มของ บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) กับ บริษัท DEME GROUP

ทั้งนี้ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2534 ปัจจุบันมีปริมาณการขนถ่ายตู้สินค้าผ่านท่าเรือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีนโยบายเร่งพัฒนาโครงการ ทลฉ. ระยะที่ 3 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับตู้สินค้าจาก 11 ล้าน ทีอียู.ต่อปี เป็น 18 ล้าน ทีอียู.ต่อปี โดยจะดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือสำหรับรองรับเรือขนาดใหญ่ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ รวมทั้งการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (SRTO) เพิ่มสัดส่วนการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 30


อีกทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานและการบริหารจัดการของ ทลฉ. ระยะที่ 3 ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในการเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้มีความสามารถในการรองรับการขนถ่ายด้วยเครื่องมือขนส่งสินค้าประเภทตู้สินค้าที่ทันสมัย


พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับสภาพสิ่งแวดล้อม (Green Port) เพื่อยกระดับประเทศเป็นศูนย์กลางทางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาค พัฒนาระบบการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้ได้มาตรฐาน โดยใช้ระบบจัดการตู้สินค้าแบบอัตโนมัติ (Automation) มาสนับสนุนการดำเนินงาน รวมถึงการเป็นประตูการค้า (Gateway) สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าของประเทศ